ทฤษฎี Parental Gacha เกิดมาจนเพราะ ‘กาชาปอง’ เมื่อคนรุ่นใหม่หมดไฟ ไร้หนทาง
ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงรู้สึกหมดไฟและไร้หนทาง? รู้จัก ‘กาชาปองพ่อแม่’ ต้นตอความเหลื่อมล้ำ การเกิดมาต้นทุนต่ำ ที่ส่งต่อความจนและความโดดเดี่ยว สิ้นหวัง สู่ 6 ขั้นตอนสร้างชีวิตใหม่

เมื่อ ‘กาชาปองพ่อแม่’ (Parental Gacha) ทำให้คนรุ่นใหม่หมดไฟและไร้หนทาง
สังคมไทยตอนนี้อยู่ในสภาวะที่รายได้วิ่งตามค่าครองชีพไม่ทันแล้วจร้า คนรุ่นใหม่จำนวนมากกำลังเหนื่อยล้าเงียบๆ อยู่ในใจ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้ขี้เกียจ หรือ ยอมแพ้ แต่ว่า เฮ้ย ! แต่มันเหนื่อยจนไม่รู้จะดิ้นรนต่อไปอย่างไรต่างหาก
เราเคยได้ยินเรื่องราวของ คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาโดยถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เกิด เพราะความยากจน เราเคยได้ยินว่า ความฝันของพวกเขา คือ การได้เรียนมหาวิทยาลัยและมีงานที่มั่นคง แต่พวกเขากลับไม่มีทั้งเงินทุน หรือ เส้นสาย จำเป็นต้องกู้เรียน และหลายคนต้องใช้เงินจากสวัสดิการของรัฐ
ตัวอย่างเรื่องราวของพวกเขา
https://x.com/thanaaer1/
อดมื้อกินมื้อ ‘เด็กชายวัย 12’ สู้สุดชีวิต รับจ้างหาเลี้ยงยายวัย 58 ปี กำพร้าพ่อแม่ 12 ปีมีแค่ยาย
https://x.com/Johny_Smily/
ข่าวแม่นำลูกสาววัย 12 ขวบ มาญี่ปุ่น เพื่อทำงานร้านนวด แล้วทิ้งลูกไว้ที่นั้น แล้วตัวเองบินกลับไทย
https://x.com/Thamboon888/
น้องอายุ 7 ขวบ มาอยู่ไร้บ้านกับตายายได้เดือนนึงแล้วค่ะ น้องไม่ได้เรียนหนังสือเลย แม่เอาน้องมาขายให้กับยาย
หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่เกิดมาด้วยชะตา กาชาปองพ่อแม่ ผมและคุณเราต่างก็รู้ว่า การเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่พร้อมทางการเงิน มีต้นทุนชีวิตต่ำ มันเป็นเรืองที่แก้ไขไม่ได้ ดังนั้นไม่ต้องโทษชะตาชีวิตตัวเอง ตั้งสติและใจเย็น ๆ ในบทความนี้ ผมจะลองวินิจฉัยปัญหานี้ไปพร้อมกับคุณทีละส่วน ทำการปลดภาระทางใจ และ เสนอกรอบความคิดทางใจ เพื่อเปลี่ยนภาวะสิ้นหวัง ให้เป็น โอกาสในการเติบโต (Growth Opportunity) มาเข้าใจสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ มันมีชื่อเรียกและคำอธิบายทางสังคมศาสตร์อยู่นะครับ
- กาชาพ่อแม่ (Parental Gacha): เป็นคำฮิตในวัยรุ่นญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึง การสุ่มฉลากจับได้ แล้วดันมาเกิดในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่พร้อมด้านการเงินและจิตใจ
- ความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่น (Intergenerational Inequality): ช่องว่างทางโอกาส หรือ ความจนที่ถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่มาสู่รุ่นลูกซึ่ง ก็คือ คุณนี่แหละ
- คนรุ่นใหม่หมดไฟ (Burnout in Young Generation): สภาวะการหมดพลังงานทั้งกายและใจในวัยหนุ่มสาว เพราะรู้สึกว่า อะไรในยุคนี้มันยากไปหมด และ ใช้เงินเยอะกว่าเดิมเข้าไปอีก
- ความสิ้นหวัง (Hopelessness): ความรู้สึกไร้ทางออกและมองไม่เห็นอนาคตอันเกิดจากการมองตัวเอง มองคนอื่น มองสิ่งที่สังคมมีกฏเกณฑ์ .. แล้วก็ฟุบบบ เป็นเสียงของความหวังที่ถูกเป่าดับ
ก่อนที่เราจะไปกันต่อ ผมขอให้คุณขอบคุณตัวเองก่อน ขอบคุณที่ คุณเกิดมาทั้งที่ไม่มีสิทธิ์เลือก และมาเกิดเป็นสมาชิกอยู่ในครอบครัวที่ต้นทุนชีวิตและสังคมต่ำ แต่คุณยังคงรักษาตนเองไว้ให้เป็นคนที่ดีของสังคม และพยายามหาทางที่จะไปต่อของตัวเองนะครับ ผมขอขอบคุณและแสดงความนับถือคุณจากหัวใจครับ
"กาชาพ่อแม่" (親ガチャ) เกมส์เสี่ยงดวงมาเกิด
คำว่า "Gacha" (ガチャ) เป็นคำเลียนเสียงธรรมชาติของญี่ปุ่น (Onomatopoeia) ที่มาจากเสียงหมุนตู้ "Gachapon" (กาชาปอง) ซึ่ง ก็คือ ตู้หมุนไข่ของเล่นครับ ที่เราต้องลุ้นว่าจะได้อะไรออกมา
ดังนั้น คำว่า กาชาพ่อแม่ ในบริบทของคนไทย จึงหมายถึง คือ คุณได้เล่นเกมสุ่มดวงมาเกิดว่า จะมาเกิดจากพ่อและแม่แบบใดนั่นเอง คำนี้ให้ความหมาย ประชดประชัน ชะตาชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้นั่นเองครับ
จากแชทพูดคุย .. สู่หัวใจของน้องโจ เล่นเกมส์กาชาพ่อแม่แล้วโชคไม่ดี เสียงจากคนรุ่นใหม่ที่ต้นทุนครอบครัว มันกำหนดอนาคตได้
ในค่ำคืนของวันที่ลมฟ้าอากาศดี ก็มีแชทแปลกหน้าจากน้องคนหนึ่ง ที่ผมสรุปได้หลังจากพูดคุยกันแล้วว่า ชีวิตของเขาได้เคยผ่านมือของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และประโยคทักแชทของเขา ก็เริ่มต้นเหมือนพายุที่ก่อตัวขึ้นแบบไม่ถามไถ่กันสักคำ และผมก็ถูกดึงเข้าไปในความมืดมนจากประโยคทักทาย ซึ่งได้เปลี่ยนค่ำคืนของวันที่ฟ้าสวยไปในทันที
"ผมเกิดมาจนครับพี่"
ประโยคนี้สร้างภาพความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่นที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ให้ผุดขึ้นมาในความคิดของผมทันที เป็นถ้อยคำที่เหมือนประชดชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด ไม่มีโอกาสได้เลือกพ่อแม่ เติบโตมาในช่องว่างอันว่างเปล่าของครอบครัวที่ไม่พร้อม และถูกทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์ เป็นวงจรความจนที่ถ่ายทอดมาจากปู่ย่าตายายแบบไม่เลือกหน้า
โจมีความคิดว่า เด็กบ้านรวยมีครอบครัวและเครือญาติที่ช่วยพยุงให้ลอยตัว เด็กบ้านจนอย่างเขา มีแต่คำว่า "ต้องพยายามเอาเอง" ที่ต้องพูดกับตัวเองซ้ำ ๆ พอ ๆ กับลมหายใจเข้าออก เพราะเขาไม่มีต้นทุนชีวิต ไม่มีครอบครัวหยิบยื่นต้นทุนให้เมื่อกำลังเติบโต เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก 'อยู่ต่อไป' หรือ 'ตายไปซะ'
ผมขอบคุณที่โจเลือกจะอยู่ต่อไป แต่เขาก็แทบไม่มีช่องว่างให้ได้รู้สึกเป็นสุขจากการมีชีวิต เขารู้สึกว่าตอนนี้ความพยายามที่ทุ่มเททั้งหมด มันไม่เท่ากับความสำเร็จที่แท้จริง มัน คือ ความเหลื่อมล้ำในไทย ที่เศรษฐกิจบีบรัดคนรุ่นใหม่ให้หมดไฟ ค่อย ๆ กลืนกินประกายในดวงตา
- ชะตาชีวิตถูกกำหนดตั้งแต่เกิด โจติดอยู่ในชุดความคิดที่ว่า ทำไมเขาต้องเกิดมาในครอบครัวที่จนและทิ้งเขาไว้คนเดียวแบบนี้
- เด็กบ้านรวย ปะทะ เด็กบ้านจน เด็กบ้านรวยมีติวเตอร์การเรียนส่วนตัวที่เปิดประตูโอกาสสู่สังคมที่สูงขึ้น กับ เด็กบ้านจนที่ต้องหาทำงานพิเศษตั้งมัธยมเพื่อแค่ให้ท้องอิ่ม
- ความจนที่เหมือน เล่มเกมส์สุ่มดวง หมุนตู้ไข่กาชาปอง แล้วลุ้นมาเกิด โชคไม่ดี แจ๊คพอตมาเกิดในครอบครัว "ยากจน" ที่ถ่ายทอดความจนกันข้ามรุ่น ราวกับสายเลือดที่กำเนิดขึ้นไม่มีวันหลุดพ้น
- โจมีความคิดว่า ความพยายามไม่เท่ากับความสำเร็จ ต้นทุนชีวิตของเขาต่ำเกินไป เมื่อต้องสู้ในระบบที่ไม่เท่าเทียม แล้วเหนื่อยเปล่า ชีวิตมันค่อย ๆ ฉีกเอาหัวใจที่เคยสู้ของเขา .. ไปทีละชิ้น
- คนรุ่นใหม่หมดไฟแล้วจำนวนมาก โจไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ แม้ว่าจะมีแผนกำจัดความยากจนของรัฐบาลก่อนปี พ.ศ. 2570 แต่ก็เหมือนมันยังห่างไกล ราวกับแสงสลัวในอุโมงค์ยาว
ช่วงเวลาแห่งการสนทนายืดยาวและเต็มไปด้วยถ้อยคำที่สิ้นหวังจึงได้เริ่มต้น เป็นการพูดคุยที่ผมขอโอบกอดหัวใจที่เจ็บปวดและสิ้นหวังของโจไว้ และได้รับฟังสาระจากชีวิตจริงที่ไหลเอ่อออกมา และบางท่วงทำนองมันน่าเศร้าสุดหัวใจ จนผมน้ำตาคลอผ่านหน้าจอสนทนา
ความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่น ส่งต่อความยากจนที่มองไม่เห็น ให้เป็น "คนไร้บ้านเสมือน" ในห้องเช่าราคาถูก
โจเล่าสภาพบ้านของเขาว่า คือ หอพักที่ซุกหัวนอนได้ ขนาดแค่เตียง 3.5 ฟุต ยัดได้ 3 เตียง แล้วก็เต็มห้องเลย ราคา 3,200 บาท หารกับเพื่อน 3 คน ผนังบาง ๆ ที่กั้นแค่เสียงครก กับ เสียงเขียง ซึ่งทุกเช้ามืดจะต้องทนข่มตาหลับไปพร้อมกับจังหวะที่เร้าใจของอีกห้องข้าง ๆ ที่ลุ้นได้เลยว่า เป็นเสียงตำอะไร ผมนึกภาพแล้วก็หัวเราะออกมาได้ท่ามกลางประเด็นเศร้าโศก ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างเศร้าสร้อย
มันก็ยังดีกว่าตกงานแล้วต้องไปหานอนในวัดเหมือนก่อนครับ
ครอบครัวของป้าวัย 68 ปี และน้าชายวัย 45 ปีก็มีสภาพชีวิตไม่ต่างกัน อยู่พระรามสาม ขายไก่ย่างในตลาด เช่าห้องแถว 5,500 อยู่กัน 6 คน และ เป็นสาเหตุที่โจไม่สามารถอยู่ด้วยได้ เพราะที่นอนต้องแบ่งกันนอน ห้องน้ำต้องต่อเพิ่มเองเพื่อใช้อาบน้ำเฉพาะ ไม่ให้คนที่ต้องขับถ่ายต้องรออย่างทรมาน
ไม่รวยสักที เค้าอยู่ที่นั่นตั้งแต่ผมยังไม่เกิด ปู่กับย่ามาเช่าเขาอยู่จนตายไปหมดแล้ว
มัน คือ ภาพของความยากจนที่ผมเรียกว่า เป็นความยากจนที่มองไม่เห็น (Invisible Homelessness) สภาพชีวิตของโจ คือ "กรงที่เงินชนเดือน" หาเงินเลี้ยงชีพเพียงเพื่อจะอยู่ไปอย่างนั้น วันชนวัน เดือนชนเดือน หมดแล้วก็หมดไป
จากสถิติ หนี้ครัวเรือน หนี้กยศ ของธนาคารแห่งประเทศไทย และ รายงานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับภาระการชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มรายได้ต่ำ ว่า ผู้มีรายได้ต่ำ เผชิญกับค่าครองชีพสูงมากในกรุงเทพฯ เมืองใหญ่ที่บีบคั้น ให้มีเงินแค่เดือนชนเดือน และติดกับดักหนี้ครัวเรือนที่ไม่มีวันหลุด ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เป็นความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่น ส่งต่อความยากจนที่มองไม่เห็นเป็นวงจรไม่สิ้นสุด
ผมกินมาม่ากับซุปก๋วยเตี๋ยวที่ขอมาบ่อย ๆ ครับ
ผมคิดว่าประโยคที่เราปลอบใจตัวเองว่า "กินมาม่าก็อยู่ได้แล้ว" มันเป็นตลกร้ายที่ทำให้เจ้าของคำพูดดูมีภาพว่า "เก่งชิบหาย" ในสายตาคนอื่น การอยู่รอดวันต่อวัน ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง 87.4% ของ GDP และ ค่าครองชีพที่สูงลิ่วในพื้นที่กรุงเทพ ไม่ควรจะลงเอยด้วยเกียรติยศที่ว่า 'มาม่า คือ ความมั่นคงของคนยากจน' และ มันไม่ควรทำให้ผมผู้อ่านต้องน้ำตาเอ่อขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่มันเป็นประโยคธรมดาชิบหาย ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็กินมาม่ากันนี่นะ
- คนไร้บ้านที่มองไม่เห็น ก็คือ การมีที่ซุกหัวนอน แชร์บ้านราคาถูกกับคนอื่น แต่สิ้นหวังกับการมีบ้านของตัวเอง
- ตกงาน ก็ยังมีที่ซุกหัวนอน ใช่แล้วหละ ไม่ต้องนอนข้างถนน ไม่ต้องนอนในวัด ไปได้ .. แค่ไม่กี่วัน
- หนี้ครัวเรือนหนี้บัตรเครดิต หนี้กยศ. พอกพูนเงียบๆ เฉลี่ย 144,871 บาทต่อครัวเรือน
- รายได้ต่ำ ค่าครองชีพสูง กรุงเทพฯ มหานครที่ "หิวกระหาย" เงินจากคนอย่างโจไม่รู้จบ
- เงินเดือนชนเดือน ระบบเศรษฐิกิจไทยที่พังแล้ว แต่ระบบยังไม่ตาย ที่ผลิตกับดักหนี้ครัวเรือน ให้คนจนกลายเป็นคนไม่มีทางออก
ความยากจนทำให้โจขยับขึ้นสังคมที่ดีกว่ายาก เกิดความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ เมื่อ "การพึ่งพาใครไม่ได้" กลายเป็นคำปลอบใจตัวเอง
โจบอกกับผมว่า เพราะไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่แรก ก็ไม่รู้จะพึ่งใคร เคยพยายามเข้าสังคมใหม่ ๆ เพราะหวังจะได้มีเพื่อน มีเครือข่ายสังคมใหม่ ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น กลุ่มเฟสบุค กลุ่มไลน์ แล้ว แต่ก็เหมือนว่า ความยากจนของโจเป็นอุปสรรคในทางใดทางหนึ่งเสมอ
- กลุ่มเฟสบุคหาเงิน เขาชวนผมไปอบรมพี่ ผมไปมาแล้ว ค่าเดินทาง ค่าข้าววันนั้น หมดไปเกือบ 300 บาท ฟังแล้วก็ดีครับ แต่มันจะต้องลงทุนซื้อของ 'คนจนแบบผม' จะเอาเงินไหนไปลงทุน แค่เดิมเงินโทรศัพท์ 100 บาท ผมยังต้องคิดเลย
- กลุ่มท่องเที่ยว ตอนนั้นก็คิดว่า อยากจะได้ลู่ทางถามเรื่องอาชีพในต่างจังหวัดได้ ก็มีแต่คนแชร์เรื่องตัวเองไปเที่ยว เรื่องอื่นเขาไม่รู้
- กลุ่มไลน์หาเพื่อน ก็มีแต่เรื่องอย่างว่าครับพี่ ขายตัวออนไลน์ เปิดกล้องไม่เห็นหน้า 200 บาท เห็นหน้า 500 บาท ผมใจกล้าไม่พอจะทำครับ (ดีแล้วจ้ะ เรื่องนี้ความจนไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่ความละอายแก่บาปเป็นอุปสรรคแทน)
กลุ่มคนรักรถ แข่งรถ "ผมชอบนะ แต่ตอนนี้ไม่ได้ไปด้วยแล้ว ผมเข้ากับพวกเขาไม่ได้ เพราะไม่มีเงินครับ เขาคุยกันเรื่องทริปเที่ยว แต่งรถ แข่งรถ ผมไม่มีอะไรจะไปคุยกับเขา ทุกอย่างใช้เงินหมดครับ"
โจรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวในชีวิต เพราะการจะอัพเกรดตัวเอง เพื่อโอกาสที่ดีกว่าได้ผ่านการมีเพื่อนฝูง เพื่อได้รับการอุปถัมภ์ช่วยเหลือทางโอกาสบ้าง มันต้องใช้เงินไม่ใช่น้อยในการเข้าไปร่วมสังคมจนกว่าจะเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม
อุปสรรคของโจ คือ ความจน
ความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ ผลักดันให้โจหาใครสักคนอยู่เสมอ คนที่สามารถยอมรับเขาได้ เพื่อจะได้เป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ เพื่อชีวิตที่ดีกว่านี้ ผ่านโอกาสที่เขาไม่เคยได้รับมัน
ถ้ามีแฟน ก็เป็นทั้งเพื่อน เป็นที่ปรึกษา สู้ไปด้วยกันครับ
"ปี 61 ผมเจอผู้หญิงคนหนึ่งทางเฟส เป็นคนกรุงเทพฯ มีชีวิตคล้ายผม วุฒิการศึกษาเราน้อย ก็ทำงานโรงงานแถวสำโรง ได้เป็นรายวัน พอเก็บเงินได้ไม่ทันไร โรงงานปิดโควิท ผมก็ไปซื้อมอเตอร์ไซต์มาวิ่งงานไรเดอร์ ผมวิ่งงาน แฟนไปทำงานเซเว่น
งานหนักชิบหายเลยพี่ เงินดีกว่าโรงงาน แต่เวลาเจอกันไม่มี เค้าเข้าเป็นกะ ผมออกวิ่งแต่เช้ายันดึก กลายเป็นว่า ผมเหงาไม่รู้ตัว มีแฟนเหมือนไม่มี แต่ช่วงหลัง ขอเงินผมจัง เดี๋ยวก็พ่อ เดี๋ยวก็แม่ สองพัน สามพัน ห้าพัน จนผมไม่ไหว ก็ขึ้นเสียง ก็ทะเลาะกัน แล้วประโยคที่เจ็บปวดที่สุดที่ เขาตะโกนใส่หน้าผม แล้วก็ทำให้ผมจำจนวันนี้เลยนะ"
มึงไม่เคยมีพ่อ มีแม่ มึงจะเข้าใจเหี้ยอะไร
ผมหยุดค้างอยู่ที่ประโยคนี้ และ บทสนทนาก็หยุดลง ไม่มีข้อความเคลื่อนไหวจากผม และ ไม่มีจากเขา เพราะผมไม่รู้จะพิมพ์ข้อความอะไรส่งกลับต่อไป ผมใช้เวลาคิดอยู่นาน นานจนผมรู้สึกว่านานมาก แต่โจก็ส่งข้อความกลับมาหาผมต่อ
โทษทีครับ ผมไปโอนเงินมา
โจเป็นแฟนด้อมหลายคนบน tiktok และ ช่วงที่แชทคุยกับผม ก็มีคนหนึ่งขึ้น live โจเลยพักไปทำธุระทางการเงินของเขา เพื่อไปส่งของขวัญให้คนที่เขาติดตาม "มันแก้เซ็งได้พี่ บางครั้งเขาก็พูดอะไรดีดีให้ผมคิดได้นะ บางทีก็ตลกคลายเครียดดี"
และ โจก็บอกเล่าถึงความหวังของเขามากมายหลายอย่างที่ดูห่างไกลจากความสามารถของเขา เมื่ออายุได้เดินทางมาถึง 27 ปีแล้ว เขาเคยคิดอยากตายอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวก็ไม่อยากคิดหวังอะไรมากไปกว่านี้
วันต่อวันนะพี่ ชีวิตคนเราคิดไกลได้ แต่หวังให้สั้น วันต่อวันก็พอ ยิ่งดิ้นยิ่งเหนื่อยกว่าเดิมอีก
ก่อนจะร่ำลาจากกันโดยไม่มีบทสรุปใด ผมขอบคุณที่เขาแบ่งปันเรื่องราวให้ผม โจก็ขอบคุณที่มีผมเป็นอีกคน ที่เข้ามาเพิ่มในโลกของเขา
ความโดดเดี่ยวของโจ ทำให้เกิดภาวะหมดไฟ หมดกำลังใจ และสิ้นหวัง แล้วเข้าสู่ภาวะยอมจำนน โดยใช้กลไกการรับมือที่พังในการมีชีวิต
ผมเข้าใจว่า โจอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เส้นทางในตอนนี้ มันดูยากมากกับต้นทุนชีวิตที่เขาได้มาจากพ่อแม่ โจยังคงมีงานทำ มีรายได้ แต่เขาอยู่ในสภาวะคนไร้บ้านเสมือน ที่ไม่มีความมั่นคงในชีวิต
ความจริงของชีวิต ทำให้แรงจะดิ้นรนของโจหายไป ไม่เห็นภาพอนาคต อนาคตมืดมน ยอมจำนนต่อชีวิต
- ไม่ใช่ไม่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่มันจับหาเชื้อแห่งความหวังไม่เจอ
- มาตรฐานสังคมที่สูงขึ้น ทำให้คนจนจะก้าวขึ้นไปสูง มันยากลำบาก แรงจะดิ้นรนหายไป
- ไม่เห็นภาพอนาคต
- และ ยอมจำนนต่อชีวิต
เมื่อภาวะหมดไฟลุกโชนจนมอดไหม้เสาแห่งความหวังไปหมดแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ขับเคลื่อนต่อไปด้วยกลไกพัง ๆ จากซากปรักหักไหม้ที่ยังคงทำอยู่
โจจึงตอบสนองความเครียดภายใน ด้วยความรู้สึกว่าตัวเขาเองเป็นที่ยอมรับของอินฟลูทาง tiktok ที่กล่าวชื่นชม ทักทายโจทุกครั้งที่เข้ามาดู live พฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อคลายเครียดในรูปแบบนี้ ก็เป็นหนึ่งพฤติกรรมที่พบได้มากขึ้นครับ และ พบมากในผู้มีรายได้น้อย ที่จะใช้จ่ายเล็กน้อย แต่ถี่ ๆ
แต่พฤติกรรมแบบนี้ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนจนเท่านั้น คนที่มีรายได้ปานกลาง สูง ถึง สูงมาก ในหลายคนที่ไม่ได้มีความเครียดในชีวิต ก็ชอบที่จะใช้เงินไปในทางแบบนี้ด้วยความเต็มใจที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นสุข
- มีรายงานว่า แฟนคลับ “เป๊ก ผลิตโชค” หนึ่งในศิลปินไทย ได้รวมกลุ่มแฟนคลับเพื่อทำโปรเจกต์ LED จำนวนประมาณ 195,000 บาท+VAT เพื่อสนับสนุนศิลปินของตนเอง โดยมีสมาชิกแฟนคลับวัยทำงานนอกระบบรายได้สูงน้อยเข้าร่วม
- เว็บบอร์ดพันทิป ระบุว่า “แม่ยกลิเก” (แฟนคลับศิลปินลิเก/ลูกทุ่งไทย) มีพฤติกรรมเปย์หนัก เช่น ซื้อของ/มอบเงินให้ศิลปินไทย โดยไม่ได้เป็นวงโอตะเกาหลี
กลไกการจ่ายเงินเพื่อให้ตัวเองมีความสุขไม่ได้ผิด แต่มันจะผิด ถ้าใช้กลไกนี้ในสภาวะที่ไม่พร้อม
โจใช้เงินไปกับอินฟลูของเขาไปจำนวนมากทีเดียวในความคิดของผม เพื่อแก้โจทย์ความโดดเดี่ยวในชีวิต เพื่อให้ตัวเขาเองรู้สึกว่า 'วันนี้ เรายังมีใครสักคนที่เหมือนเป็นเพื่อนกัน'
มันเป็นความรู้สึกที่ "โจจ่ายเงินซื้อการยอมรับนี้มาได้" แต่มันก็เป็นแค่โซเชียลมีเดียที่คุยกันตื้น ๆ ผิวเผิน เติมเต็มได้แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ข้างในหัวใจระยะยาวของโจอาจว่างเปล่า องค์การอนามัยโลกชี้ว่า มัน คือ การแยกตัวทางสังคม & ความโดดเดี่ยว
โจมีเพื่อนในเฟสเยอะ แต่บอกว่า เขานั่งขำตัวเองตอนเลื่อนฟีด "มีเพื่อนพันคน แต่ไม่มีใครถามไถ่ผมสักคน มีแต่โพสต์โชว์ว่า กิน เที่ยว ช้อป อะไรมา " และ ผลสำรวจปี 2025 พบว่า 83% ของคนไทยรู้สึกโดดเดี่ยวในชีวิต
การเล่าแบ่งปันของโจ เป็นการทำไปโดยธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ คือ เพื่อกอดความเจ็บปวดของตัวเอง
โจไม่ได้เล่าเพื่อเรียกร้องความสงสาร หรือ ขอให้ผมช่วยเหลืออะไร แต่โจได้ทำสิ่งนี้ออกไปโดยธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ คือ เพื่อกอดความเจ็บปวดของตัวเอง การยอมรับรู้ความรู้สึกตัวเองตามจริง คือ จุดแรกที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจขึ้น เพียงแต่ว่า การยอมรับรู้จะต้องตามมาด้วยการควบคุมความรู้สึกของตัวเองด้วยการตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง
"สร้างต้นทุน" ให้ตัวเองใหม่ เมื่อพ่อแม่ที่ไม่พร้อมทางการเงินและจิตใจได้ให้กำเนิดคุณมา
ถ้าคุณ คือ คนหนึ่ง ที่ชีวิตเล่นไข่สุ่มโชค แล้วดันได้หวยชีวิตออกมาแบบ "น้องโจ" ผู้มีชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดในทุกวัน ด้วยต้นทุนชีวิตที่ต่ำ สู้ศึกกับค่าครองชีพสูงลิ่วในกรุงเทพฯ มีหนี้สินพอกพูน และ เผชิญความโดดเดี่ยวที่ไม่มีใครเข้าใจ
ผมอยากจับมือคุณ แล้วพูดตรง ๆ ว่า "มันเป็นความจริงในเมืองใหญ่ที่มีคนต้องเจ็บปวดไปค่อนเมืองครับ มันเป็นความสิ้นหวังที่แผ่คลุมเหมือนหมอกหนาไปทั่วมหานครนี้ และผมเชื่อว่าไม่ใช่เพราะคุณไม่พยายาม แต่คุณอาจ "เหนื่อย" แล้ว เหนื่อยมากจนไม่รู้จะก้าวต่อไปทางไหนต่างหาก"
น้องโจ ไม่มีแม้กระทั่งเงาพ่อแม่ให้จดจำ ไม่มีบ้านมั่นคงให้เป็นฐานชีวิต แต่ก็กำลังเรียนรู้ที่จะอยู่ต่อ และ กำลังคิดสร้าง "ต้นทุนชีวิต" ใหม่ในแบบของเขาเอง
ดังนั้น แนวทางของผมนี้ มันไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่ผมก็ขออยู่เป็นเพื่อนที่นั่งคิดเคียงข้าง และ เชื่อมั่นว่า เราจะก้าวผ่านมันไปทีละก้าว... ด้วยการวางแผนทางใจ และลงมือทำทีละน้อยครับ
☀️ ขั้นที่ 1 เริ่มจากใจ ด้วยการกอดความจริง
ก่อนสร้างอะไรใหม่ ต้องยอมรับ "ที่ดิน" ที่ยืนอยู่ก่อน ยอมรับไม่ใช่เพื่อตอกย้ำ แต่เพื่อปลดปล่อย การยอมรับว่า "การเกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่ที่ไม่พร้อมทางฐานะ" นั้น มันไม่ใช่ความผิดของเรา และ ไม่ใช่ความผิดของพ่อและแม่ด้วย (อย่าไปขุดคุ้ยหาสาเหตุเลยครับ)
หยุดโทษตัวเอง แล้วความสิ้นหวังที่กัดกินใจจะค่อยๆ จางลง ความโดดเดี่ยวในเมืองที่โตแบบเร่งรีบนี้ เกิดขึ้นเพราะเราแปลกแยก มันก็จริง เถียงไม่ได้ ก็เป็นเรื่องปกติของสังคมใบนี้ไปแล้ว แต่ไงหละ ชีวิตที่เหลือเรากำหนดเองได้นี่
กอดแรก ผมขอเปลี่ยนจาก "ทำไมต้องเป็นเราด้วย" เป็น "ก็ในเมื่อเป็นเราแล้ว เราจะทำอะไรต่อได้บ้าง"
☀️ ขั้นที่ 2 ต่อด้วยการสร้างเครือข่ายเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัย
มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้อยู่คนเดียว "ต้นทุนชีวิต" สำคัญที่สุด ไม่ใช่เงิน แต่คือ "คนที่พยุงเราไหว" ครับ
ลงทุนเวลาใน "เพื่อนแท้" (ไม่ใช่หาแฟน เพราะแฟนกับเพื่อนไม่เหมือนกันนะครับ) แค่ 1-3 คนก่อน ในยุคที่เพื่อนโซเชียลนั้น เข้าถึงง่ายกว่าเพื่อนที่ต้องเริ่มต้นจากการมีความสัมพันธ์จริง โดยให้เลือก "คุณภาพ" มากกว่า "ปริมาณ" มองหาคนที่ไว้ใจได้ ที่คุณและเขามีทัศนคติไปในทางเดียวกันได้ แบ่งปัน พูดคุย กันแบบจากประเด็นง่าย ๆ แล้วค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ห่าง ๆ (ไม่ล้ำเส้นส่วนตัว) แต่สม่ำเสมอ (ไม่ถี่ ไม่ประชิด แต่สม่ำเสมอ)
แล้วมันจะได้เพื่อนที่ออกมาเป็นตัวจริงสำหรับเราได้ในที่สุดครับ
หา "พี่เลี้ยงทางใจ" (Mentor) เช่น รุ่นพี่ที่ทำงาน อาจารย์เก่า หรือ เจ้าของร้านกาแฟประจำ ป้าร้านตามสั่ง คนที่เป็นคนดีและเข้าใจ อาจให้คำแนะนำเล็ก ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน การมีใครสะท้อนความคิดที่เราคิดไม่ถึง จะช่วยไม่ให้เราหลงทางได้ครับ
คุณยังคงดู Live สาวสวยนมโต หรือ หนุ่มหล่อว่าที่พ่อของลูกในฝันต่อไปได้นะครับ แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้มีอะไรมอบให้เรามากไปกว่า ความบันเทิงเริงฟู ก็แบ่งเวลามาเพิ่มการติดตามคนที่ให้สาระประโยชน์แก่ชีวิตเข้าไปด้วยสิครับ ติดตามพวกเขาทุกช่องทางโซเชียลไว้เลย
เวลาไถฟีด ก็จะได้เห็นนมโตบ้าง อัดสาระเพิ่มพูนเข้าชีวิตบ้าง สลับ ๆ ไป แบบค่อย ๆ หย่านมครับ
การดูเรื่องราวของคน "มีทุกอย่าง" มัน คือ ยาพิษร้ายแรงครับ มันทำให้เราตอกย้ำตัวเองในทางลบว่า ชีวิตเขา คือ ไฮไลท์ แต่ทำไมชีวิตเรา คือ เบื้องหลัง
☀️ ขั้นที่ 3 วางแผนการเงิน เพื่อการทวงคืนอำนาจในการเล่มเกมส์ชีวิตกลับมา
หนี้และความจน ยังน่ากลัวน้อยกว่าการ "สูญเสียการควบคุม" ครับ
ลดการใช้เงินแก้เหงา เราต่างก็เคยเป็น (ผมก็หนึ่งในนั้น) ซื้อของตอนตีสอง เปย์ให้กับไอดอลแบบไม่ยั้ง กินแพง ๆ หรู ๆ เพื่อระบายเครียด ด้วยเทคนิคถามตัวเองดัง ๆ หลายรอบ เมื่อหัวใจเริ่มอยากใช้เงินหนีความจริง ให้หยุด หายใจให้ลึก แล้วถาม "เราต้องการอะไรกันแน่" บางทีเราอาจต้องการแค่ "เพื่อนคุยจริง ๆ" ไม่ใช่ "ของใหม่" หรือ "ใครก็ได้"
ตั้งเป้าหมายออมเล็ก ๆ หลักร้อยต่อเดือน การออม 200 บาท ไม่ทำให้รวยทันที แต่สร้าง "นิสัย" ที่บอกสมองว่า "เราควบคุมชีวิตได้แล้ว" มัน คือ การทวงอำนาจคืนทีละนิดครับ
ผมใช้แอพ Kept ของธนาคารกรุงศรีนะครับ (ไม่ได้โฆษณานะครับ และ ความรับผิดชอบของแอพเป็นของตัวคุณเองนะครับ) ผมจะโอนเงินเฉพาะค่าอาหารไว้ในบัญชีนี้ทุกเดือนตามจำนวนที่ตั้งไว้ แล้วจะใช้จ่ายเฉพาะอาหารเท่านั้น ความพิเศษของแอพนี้ ที่ทำให้ผมเลือกใช้มัน ก็คือ ผมตั้งได้ว่า ทุกครั้งที่จ่ายออกจะให้หักเงินเข้ากระปุกออมเท่าไหร่
ผมใช้มาได้ปีกว่าแล้ว เงินในกระปุกออมผมมีอยู่เกือบ 6,000 บาทครับ แล้วผมจะเอาเงิน 6,000 บาทนี้ไปเก็บไว้ในบัญชีเงินออมสูงอื่นอีกทีครับ
☀️ ขั้นที่ 4 พัฒนาทักษะเพื่อเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่ ดีดีให้ชีวิต
เมื่อควบคุมใจและเงินได้บ้าง ถึงเวลา "ขยายทางเลือก"
เรียนรู้ใหม่ ๆ วันละ 15 นาที "ต้นทุนทักษะ" สร้างได้เองโดยไม่พึ่งต้นทุนของพ่อแม่ครับ โลกนี้มีคอร์สฟรีมากมาย (Google, Coursera, YouTube) หรือฝึกทักษะตลาดต้องการ เช่น การตลาดออนไลน์ กราฟิกดีไซน์ ตัดต่อวิดีโอ
ใช้เวลาว่างจากไถฟีด ลองเริ่มเลย มันอาจไม่สร้างรายได้วันนี้ แต่กำลังหว่าน "โอกาส" สำหรับพรุ่งนี้ หรือ ไปเรียนที่นี่ก็ได้นะครับ โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานครค่าเรียนแค่ 105 บาท มีคนเรียนแล้วประกอบอาชีพได้มากมายเลยครับ คลิกที่นี่ครับ
☀️ ขั้นที่ 5 ต้นกล้างอกแล้ว ก็ออกไปหาปุ๋ยเพิ่มสิครับ รออะไร
เมื่อคุณมีทักษะเฉพาะทางที่เป็นประโยชน์กับชีวิตอย่างมากแล้ว เอามันออกไปหาปุ๋ยครับ ด้วยการเข้ากลุ่มเฟสบุคที่แลกเปลี่ยนความรู้และทักษะในเรื่องนั้น ๆ แล้วคอยช่วยเหลือผู้อื่นที่มาถามหรือปรึกษาอย่างสม่ำเสมอครับ
ตามหลักของชีวิตแล้ว คุณต้องเป็นผู้ให้ก่อนเสมอครับ แล้วคุณจะได้รับ "โอกาส" ที่พ่อแม่ของคุณไม่ได้ให้ .. คืนกลับมาในที่สุดครับ คุณจะได้ต้นทุนชีวิตใหม่ ที่คุณเป็นผู้ลงทุนและเปลี่ยนชีวิตของตัวคุณเอง
☀️ ขั้นที่ 6 ความสุขยั่งยืน การเติมพลังให้ชีวิตด้วยการมองหาแต่แง่บวก
- ทุกวันหาเวลาว่าง ด้วยการฝึกขอบคุณสิ่งเล็กน้อย (Gratitude Journaling) ไม่ต้องขอบคุณมันทันทีก็ได้ครับ คนเรามันลืมได้ พลาดได้ แต่แค่หาเวลาว่าง ๆ สัก 30 วินาที มานั่งนึกว่า 'เฮ้ย ผ่านมาถึงตอนนี้ มันมีเรื่องอะไรดีดีที่เราต้องขอบคุณบ้างนะ'
- แล้วก่อนนอนจดสิ่งดี ๆ 1 อย่าง (หรือมากกว่าก็ได้) ลงในแอพบันทึกในมือถือนั่นแหละ เช่น กาแฟอร่อย, คนขับรถเมล์ใจดี, แม่ค้าแถมแกงมาให้ถุงหนึ่ง, กะเพราไก่ อร่อยสัสสสสส เชื่อไหมครับ จิตใต้สำนุกของคุณ มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนโฟกัส จากการ"ขาด" สู่การ "มี"
อย่าหยาม !! เทคนิคนี้นะ มันได้ผลจริง ๆ นะเว้ย
- หากิจกรรมไม่ใช้เงินมาทำที่ทำคนเดียวได้ง่าย ๆ แต่เป็นกิจกรรมที่สงบ ๆ นะ เดินเล่นสวนสาธารณะ , ปลูกต้นไม้ , เดินเล่นมันแถวบ้าน , วาดรูปด้วยวิธีที่ไม่เคยวาด , หาของเก่ามาซ่อมให้มันดีขึ้น , นั่งดูรูปเก่า ๆ แล้วทบทวนชีวิตไปกับมัน
สรุป คือ
มีเป้าหมายระยะสั้น คือ ตั้งหลัก จัดค่าใช้จ่าย หาเพื่อนไว้ใจหนึ่งคน และรับมือความเครียดโดยการไม่ใช้เงินเกินจำเป็น
เป้าหมายระยะยาว คือ จะเติบโต พัฒนาทักษะสร้างรายได้ เพื่อลดความรู้สึกโดดเดี่ยว และสร้างความมั่นคงทางใจที่ไม่มีใครพรากไปได้
การสร้างต้นทุนชีวิตขึ้นใหม่ มันไม่ใช่การวิ่งแข่ง มันเป็น "การเดินอย่างมั่นคงสม่ำเสมอ" ในเส้นทางของเราในระยะยาว อย่าวิ่ง เพราะจะเหนื่อยเสียก่อน เพราะต้นทุนชีวิตของคุณไม่เท่ากับคนอื่น
ขอแค่ "เลือกอยู่ต่อ" และ "ค่อย ๆ ทำ" ทีละจุดอย่างมีเป้าหมาย
ให้หมั่นกอดตัวเอง และ แวะกอดหัวใจคนอื่น ๆ ด้วยนะ จะได้อุ่น x 2
และ ตระหนักไว้ว่า คุณเก่งมากแล้วที่มีชีวิตผ่านมาถึงวันนี้ จนเราได้เจอกันผ่านตัวอักษรนี้
แล้วจากวันนี้ จงก้าวต่อไปครับ
ชีวิตอาจเริ่มต้นจากการเกิดมาในครอบครัวที่ไม่พร้อมทางการเงินและจิตใจ แต่เราทุกคนสามารถเลือกที่จะเริ่มต้นก้าวชีวิตของเราจริง ๆ ได้เสมอครับ
ผมยังอยู่ตรงนี้ เพื่อขอโอบกอดหัวใจทุกดวงที่กำลังทนทุกข์กับภัยของชีวิต และอยากชวนคุณมาลดทอนความทุกข์ของคุณ ด้วยการมาร่วมแบ่งปันมุมมองชีวิตในแบบของคุณ เพราะการแบ่งปันชีวิต คือ จุดเริ่มต้นของการเยียวยาและกอดตัวคุณเองครับ






