"มีใจใหญ่พอที่จะให้อภัย... แต่ก็อย่าโง่ที่จะไว้ใจอีกครั้ง"
Be good enough to forgive people, but don't be stupid enough to trust them again
ชีวิตคนเรามักต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย และในความสัมพันธ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก หรือคนในครอบครัว บางครั้งก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราเสียใจ ผิดหวัง หรือแม้แต่ถูกทรยศหักหลัง เมื่อความเชื่อใจถูกทำลาย การจะก้าวต่อไปไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนอาจจมอยู่กับความโกรธ ความแค้น หรือความเสียใจไปอีกนาน แต่มีข้อคิดหนึ่งที่ให้แนวทางอันชาญฉลาดในการรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ นั่นคือ "จงมีใจใหญ่พอที่จะให้อภัยคนอื่น แต่ก็อย่าโง่ขนาดที่จะไว้ใจพวกเขาอีกครั้ง"
ข้อคิดนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนที่สำคัญ ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
ส่วนที่ 1: การมีใจใหญ่พอที่จะให้อภัย (Be big-hearted enough to forgive)
การให้อภัยในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการยอมรับหรือเห็นด้วยกับการกระทำที่ทำร้ายเรา และก็ไม่ได้หมายถึงการลืมสิ่งที่เกิดขึ้น การให้อภัยคือกระบวนการภายในที่ช่วยให้เราปล่อยวางความรู้สึกด้านลบ เช่น ความโกรธ ความขมขื่น หรือความแค้น ที่เกาะกินใจเราไว้ การจมอยู่กับอารมณ์เหล่านี้มีแต่จะทำร้ายตัวเราเอง การมี "ใจใหญ่พอ" ที่จะให้อภัย คือการตัดสินใจที่จะปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการของอดีต เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าต่อไปได้ การให้อภัยจึงเป็นเหมือนของขวัญที่เรามอบให้กับตัวเอง เพื่อสุขภาวะทางใจที่ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง การเยียวยาตนเอง ที่เราเคยคุยกัน
ส่วนที่ 2: การไม่โง่ที่จะไว้ใจพวกเขาอีกครั้ง (Don't be foolish enough to trust them again)
แม้ว่าเราจะเลือกให้อภัย แต่การให้อภัยนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องกลับไปอยู่ในสถานการณ์เดิมๆ หรือมอบความเชื่อใจให้กับคนๆ เดิมในระดับเดียวกับเมื่อก่อน ข้อคิดนี้เตือนสติเราว่า อย่าโง่ ที่จะทำเช่นนั้นอีกครั้ง เพราะการไว้ใจอย่าง blindly หลังความเชื่อใจถูกทำลายไปแล้ว อาจนำไปสู่ความเจ็บปวดซ้ำรอยได้ การไม่ไว้ใจอย่าง "โง่เขลา" หมายถึงการที่เราได้ เรียนรู้จากประสบการณ์ ที่ผ่านมา และใช้บทเรียนนั้นเพื่อ ป้องกันตนเอง ในอนาคต ซึ่งรวมไปถึงการ ตั้งขอบเขต (Boundaries) ที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ใหม่ หรือกับบุคคลเดิมที่เราเคยถูกทำร้าย
ผมอยากจะเล่าสถานการณ์หนึ่งให้คุณผู้อ่านฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง
ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เราสองคนแบ่งปันเรื่องราวชีวิตกันทุกอย่าง ผมไว้ใจเพื่อนคนนี้มาก ถึงขนาดเล่าเรื่องความลับในครอบครัวที่ไม่เคยบอกใครฟัง
แต่วันหนึ่ง ผมก็มารู้ว่าเพื่อนคนนี้เอาเรื่องความลับนั้นไปเล่าให้เพื่อนคนอื่นฟัง โดยไม่ขออนุญาตจากผม ผมเสียใจมาก รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ความโกรธและผิดหวังทำให้ผมแทบไม่อยากคุยกับเขาอีก
ผมใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เสียใจและรู้สึกโกรธเขามาก ผมไตร่ตรองอย่างหนัก ในที่สุดผมตัดสินใจว่า ผมจะไม่แบกรับความโกรธและความขมขื่นนี้ไว้อีกต่อไป มันหนักเกินไปสำหรับผม
ผมเลือกที่จะให้อภัยเขาในใจไม่ใช่เพราะเขาสมควรได้รับ แต่เพราะผมสมควรได้รับต่างหาก ผมต้องการปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวดนี้ เพื่อที่จะได้ เยียวยาตนเองและเดินหน้าต่อไปได้ นี่คือส่วนของการมี ผมเรียกว่า ผมมี "ใจใหญ่พอ" ที่จะให้อภัย
หลังจากนั้นเพื่อนคนนี้พยายามเข้ามาพูดคุยและขอโทษ ผมเลือกที่จะคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา ผมรับฟังคำขอโทษ ผมบอกเขาว่าผมให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผมก็รู้ว่าความเชื่อใจในระดับเดิมได้พังทลายลงแล้ว
ผมตั้งขอบเขตที่ชัดเจน ผมจะยังคงเป็นเพื่อนสนิทกับเขาต่อไป แต่ผมไม่สามารถที่จะไว้ใจเล่าเรื่องส่วนตัว หรือ ความลับสำคัญให้เขาฟังอีก
ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้และใช้มันเพื่อปกป้องจิตใจตัวเอง
ผมไม่ได้กลับไปทำพลาดเหมือนเดิม และ ผมก็ไม่ได้เก็บความโกรธแค้นไว้ในใจด้วย การตัดสินใจของผมสอดคล้องกับข้อคิดที่ว่า "จงมีใจใหญ่พอที่จะให้อภัยคนอื่น แต่ก็อย่าโง่ขนาดที่จะไว้ใจพวกเขาอีกครั้ง" ผมให้อภัยเพื่อสันติสุขของตัวเอง แต่ผมก็ฉลาดพอที่จะไม่นำตัวเองไปเสี่ยงกับความเจ็บปวดแบบเดิมอีกครั้ง
คุณผู้อ่านคงคิดว่า
ข้อคิดแบบนี้ใคร ๆ เขาก็ทำกัน
ก็ 'หลักการง่าย ๆ เพื่อนไม่ดี ก็ไม่ต้องไปคบมันสิ'
แต่ผมมีความแตกต่าง คือ ผมเปลี่ยนแค่เรื่องเดียวเท่านั้น คือ ไม่เล่าเรื่องส่วนตัวให้เขาฟังอีก ที่เหลือนั้น ผมยังคงโทรคุยกับเขาเหมือนเดิม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการงาน ธุรกิจเหมือนเดิม กินข้าวและชอปปิ้งกับเขาเหมือนเดิม หัวเราะด้วยกันเหมือนเดิม ไปเยี่ยมลูก ๆ ของเขา ซื้อของขวัญวันเกิด และ เยี่ยมเยียนเหมือนเดิม ทุกอย่างเหล่านี้เหมือนเดิม 100% ไม่มีอะไรเลยที่ผมบกพร่องลงไป ไม่มีสักครั้งที่ผมมีภาพในหัวว่า 'ผมเกลียดเขาและอยากเอาคืน' หรือ 'พูดกับคนอื่น ๆ ว่า คนนี้ไม่น่าคบหา ไม่น่าไว้ใจ'
ผมย้ำอีกครั้งว่า หากคุณจะเอาชุดความคิดนี้ไปใช้ คุณต้องตระหนักว่า หัวใจสำคัญของข้อคิดนี้ คือการ รักษาสมดุล ระหว่างการปลดปล่อยตนเองจากความเจ็บปวดในอดีต (ด้วยการให้อภัย) และ การปกป้องตนเองในปัจจุบันและอนาคต (ด้วยการไม่ทำข้อผิดพลาดซ้ำในเรื่องเดิม)
แต่ถ้าหากคุณผู้อ่านเลือกจะตัดเพื่อนทิ้งไป นั่นไม่ใช่ 'การให้อภัยอย่างสมบูรณ์' แต่เป็น 'การแก้แค้นด้วยหยิบยืมคำว่าให้อภัยมาเป็นข้ออ้าง' เท่านั้นเองครับ และ การแก้แค้นในรูปแบบนี้ คือ หลักการง่าย ๆ ที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน และ การแก้แค้นแบบนี้แหละ ที่เป็นเหมือนไฟอ่อน ๆ ในเตาถ่าน ที่ไม่ได้ลุกโพลง แต่มันสามารถทำให้กระดาษติดไฟได้
และนั่น .. ก็คือ กับดักในจิตใจที่คุณวางเอาไว้ให้ตัวเองไปติดในอนาคตนั่นเองครับ
ถ้าคุณผู้อ่านถามผมว่า 'แล้วทำไมผมยังปฏิบัติกับเพื่อนในเรื่องที่เหลือได้เหมือนเดิม 100% ?' ผมมีคำตอบชัดเจนว่า มนุษย์ทุกคนต้องมีความบกพร่อง คุณและผม 'ต้อง' มีความบกพร่องทางใดทางหนึ่งที่เป็นของตัวเอง
ถ้าผมต้องการมีเพื่อน แล้วผมไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้ ผมก็จะไม่มีเพื่อนเลยในโลกนี้
เพื่อนคนนี้มีข้อดีมากมาย มากมายจริง ๆ และ ผมจะไม่ยอมให้แค่เรื่องความบกพร่องในเรื่องนี้ มาทำลายเวลาที่ใช้ไปในการสร้างสายสัมพันธ์ที่ยาวนาน เพื่อนคนนี้รักษาความลับส่วนตัวของผมไว้ไม่ได้ เพราะความบกพร่องของเขา แต่เขากลับสามารถรักษาสัญญากับผมเสมอไม่ว่า เรื่องเงิน เรื่องงาน หรือ ความลับทางธุรกิจ ความเป็นคนมีน้ำใจดี ช่วยเหลือผู้อื่น รักครอบครัว และ รู้จักที่ยอมรับผิดและขอโทษเมื่อได้ทำผิด
ภาพในหัวคุณผู้อ่านคงคิดว่า 'โห .. นี่มันความคิดระดับเทพชัด ๆ ช่างแสนดีจริง ๆ'
ผมขอตอบคุณว่า โปรดอย่าเข้าใจผมผิด ผมมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ 14 คน ผมตัดความเป็นเพื่อนทิ้งไป 10 คนครับ ให้พวกเขากลายเป็นเพียง 'คนรู้จักที่คุยได้และไม่คิดร้ายต่อกันเท่านั้น'
เพื่อนคุณภาพมีไว้ร่วมเดินทางชีวิต
ส่วนนับได้อีกสิบ
มีไว้เป็นปริมาณเอาไว้สร้างภาพสวย ๆ
ถ่ายรูปหมู่สังสรรค์
มันเรียกยอดไลค์ได้ดีครับ









