ให้อภัยแต่ไม่ไว้ใจ: ศิลปะแห่งความสัมพันธ์ที่ชาญฉลาด
ข้ดคิดนี้ไม่ได้สอนให้เราเป็นคนไร้หัวใจ แต่สอนให้เราเป็นคนที่มีสติและฉลาดในการดำเนินชีวิต มันคือการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยวางอารมณ์ด้านลบเพื่อตัวเอง ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะปกป้องหัวใจและพื้นที่ส่วนตัวของเรา
ไม่มีเพื่อน
ความสัมพันธ์
ผู้เขียน : ฮัก
เผยแพร่ : 12 พฤษภาคม 2568 เวลา 08.12 น.
ปรับปรุง : 30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.39 น.
"มีใจใหญ่พอที่จะให้อภัย... แต่ก็อย่าโง่ที่จะไว้ใจอีกครั้ง"
Be good enough to forgive people, but don't be stupid enough to trust them again
ชีวิตคนเรามักต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย และในความสัมพันธ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก หรือคนในครอบครัว บางครั้งก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราเสียใจ ผิดหวัง หรือแม้แต่ถูกทรยศหักหลัง เมื่อความเชื่อใจถูกทำลาย การจะก้าวต่อไปไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนอาจจมอยู่กับความโกรธ ความแค้น หรือความเสียใจไปอีกนาน แต่มีข้อคิดหนึ่งที่ให้แนวทางอันชาญฉลาดในการรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ นั่นคือ "จงมีใจใหญ่พอที่จะให้อภัยคนอื่น แต่ก็อย่าโง่ขนาดที่จะไว้ใจพวกเขาอีกครั้ง"
ข้อคิดนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนที่สำคัญ ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
ส่วนที่ 1: การมีใจใหญ่พอที่จะให้อภัย (Be big-hearted enough to forgive)
การให้อภัยในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการยอมรับหรือเห็นด้วยกับการกระทำที่ทำร้ายเรา และก็ไม่ได้หมายถึงการลืมสิ่งที่เกิดขึ้น การให้อภัยคือกระบวนการภายในที่ช่วยให้เราปล่อยวางความรู้สึกด้านลบ เช่น ความโกรธ ความขมขื่น หรือความแค้น ที่เกาะกินใจเราไว้ การจมอยู่กับอารมณ์เหล่านี้มีแต่จะทำร้ายตัวเราเอง การมี "ใจใหญ่พอ" ที่จะให้อภัย คือการตัดสินใจที่จะปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการของอดีต เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าต่อไปได้ การให้อภัยจึงเป็นเหมือนของขวัญที่เรามอบให้กับตัวเอง เพื่อสุขภาวะทางใจที่ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง การเยียวยาตนเอง ที่เราเคยคุยกัน
ส่วนที่ 2: การไม่โง่ที่จะไว้ใจพวกเขาอีกครั้ง (Don't be foolish enough to trust them again)
แม้ว่าเราจะเลือกให้อภัย แต่การให้อภัยนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องกลับไปอยู่ในสถานการณ์เดิมๆ หรือมอบความเชื่อใจให้กับคนๆ เดิมในระดับเดียวกับเมื่อก่อน ข้อคิดนี้เตือนสติเราว่า อย่าโง่ ที่จะทำเช่นนั้นอีกครั้ง เพราะการไว้ใจอย่าง blindly หลังความเชื่อใจถูกทำลายไปแล้ว อาจนำไปสู่ความเจ็บปวดซ้ำรอยได้ การไม่ไว้ใจอย่าง "โง่เขลา" หมายถึงการที่เราได้ เรียนรู้จากประสบการณ์ ที่ผ่านมา และใช้บทเรียนนั้นเพื่อ ป้องกันตนเอง ในอนาคต ซึ่งรวมไปถึงการ ตั้งขอบเขต (Boundaries) ที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ใหม่ หรือกับบุคคลเดิมที่เราเคยถูกทำร้าย
ผมอยากจะเล่าสถานการณ์หนึ่งให้คุณผู้อ่านฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง
ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เราสองคนแบ่งปันเรื่องราวชีวิตกันทุกอย่าง ผมไว้ใจเพื่อนคนนี้มาก ถึงขนาดเล่าเรื่องความลับในครอบครัวที่ไม่เคยบอกใครฟัง
แต่วันหนึ่ง ผมก็มารู้ว่าเพื่อนคนนี้เอาเรื่องความลับนั้นไปเล่าให้เพื่อนคนอื่นฟัง โดยไม่ขออนุญาตจากผม ผมเสียใจมาก รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ความโกรธและผิดหวังทำให้ผมแทบไม่อยากคุยกับเขาอีก
ผมใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เสียใจและรู้สึกโกรธเขามาก ผมไตร่ตรองอย่างหนัก ในที่สุดผมตัดสินใจว่า ผมจะไม่แบกรับความโกรธและความขมขื่นนี้ไว้อีกต่อไป มันหนักเกินไปสำหรับผม
ผมเลือกที่จะให้อภัยเขาในใจไม่ใช่เพราะเขาสมควรได้รับ แต่เพราะผมสมควรได้รับต่างหาก ผมต้องการปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวดนี้ เพื่อที่จะได้ เยียวยาตนเองและเดินหน้าต่อไปได้ นี่คือส่วนของการมี ผมเรียกว่า ผมมี "ใจใหญ่พอ" ที่จะให้อภัย
หลังจากนั้นเพื่อนคนนี้พยายามเข้ามาพูดคุยและขอโทษ ผมเลือกที่จะคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา ผมรับฟังคำขอโทษ ผมบอกเขาว่าผมให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผมก็รู้ว่าความเชื่อใจในระดับเดิมได้พังทลายลงแล้ว
ผมตั้งขอบเขตที่ชัดเจน ผมจะยังคงเป็นเพื่อนสนิทกับเขาต่อไป แต่ผมไม่สามารถที่จะไว้ใจเล่าเรื่องส่วนตัว หรือ ความลับสำคัญให้เขาฟังอีก
ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้และใช้มันเพื่อปกป้องจิตใจตัวเอง
ผมไม่ได้กลับไปทำพลาดเหมือนเดิม และ ผมก็ไม่ได้เก็บความโกรธแค้นไว้ในใจด้วย การตัดสินใจของผมสอดคล้องกับข้อคิดที่ว่า "จงมีใจใหญ่พอที่จะให้อภัยคนอื่น แต่ก็อย่าโง่ขนาดที่จะไว้ใจพวกเขาอีกครั้ง" ผมให้อภัยเพื่อสันติสุขของตัวเอง แต่ผมก็ฉลาดพอที่จะไม่นำตัวเองไปเสี่ยงกับความเจ็บปวดแบบเดิมอีกครั้ง
คุณผู้อ่านคงคิดว่า
ข้อคิดแบบนี้ใคร ๆ เขาก็ทำกัน
ก็ 'หลักการง่าย ๆ เพื่อนไม่ดี ก็ไม่ต้องไปคบมันสิ'
แต่ผมมีความแตกต่าง คือ ผมเปลี่ยนแค่เรื่องเดียวเท่านั้น คือ ไม่เล่าเรื่องส่วนตัวให้เขาฟังอีก ที่เหลือนั้น ผมยังคงโทรคุยกับเขาเหมือนเดิม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการงาน ธุรกิจเหมือนเดิม กินข้าวและชอปปิ้งกับเขาเหมือนเดิม หัวเราะด้วยกันเหมือนเดิม ไปเยี่ยมลูก ๆ ของเขา ซื้อของขวัญวันเกิด และ เยี่ยมเยียนเหมือนเดิม ทุกอย่างเหล่านี้เหมือนเดิม 100% ไม่มีอะไรเลยที่ผมบกพร่องลงไป ไม่มีสักครั้งที่ผมมีภาพในหัวว่า 'ผมเกลียดเขาและอยากเอาคืน' หรือ 'พูดกับคนอื่น ๆ ว่า คนนี้ไม่น่าคบหา ไม่น่าไว้ใจ'
ผมย้ำอีกครั้งว่า หากคุณจะเอาชุดความคิดนี้ไปใช้ คุณต้องตระหนักว่า หัวใจสำคัญของข้อคิดนี้ คือการ รักษาสมดุล ระหว่างการปลดปล่อยตนเองจากความเจ็บปวดในอดีต (ด้วยการให้อภัย) และ การปกป้องตนเองในปัจจุบันและอนาคต (ด้วยการไม่ทำข้อผิดพลาดซ้ำในเรื่องเดิม)
แต่ถ้าหากคุณผู้อ่านเลือกจะตัดเพื่อนทิ้งไป นั่นไม่ใช่ 'การให้อภัยอย่างสมบูรณ์' แต่เป็น 'การแก้แค้นด้วยหยิบยืมคำว่าให้อภัยมาเป็นข้ออ้าง' เท่านั้นเองครับ และ การแก้แค้นในรูปแบบนี้ คือ หลักการง่าย ๆ ที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน และ การแก้แค้นแบบนี้แหละ ที่เป็นเหมือนไฟอ่อน ๆ ในเตาถ่าน ที่ไม่ได้ลุกโพลง แต่มันสามารถทำให้กระดาษติดไฟได้
และนั่น .. ก็คือ กับดักในจิตใจที่คุณวางเอาไว้ให้ตัวเองไปติดในอนาคตนั่นเองครับ
ถ้าคุณผู้อ่านถามผมว่า 'แล้วทำไมผมยังปฏิบัติกับเพื่อนในเรื่องที่เหลือได้เหมือนเดิม 100% ?' ผมมีคำตอบชัดเจนว่า มนุษย์ทุกคนต้องมีความบกพร่อง คุณและผม 'ต้อง' มีความบกพร่องทางใดทางหนึ่งที่เป็นของตัวเอง
ถ้าผมต้องการมีเพื่อน แล้วผมไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้ ผมก็จะไม่มีเพื่อนเลยในโลกนี้
เพื่อนคนนี้มีข้อดีมากมาย มากมายจริง ๆ และ ผมจะไม่ยอมให้แค่เรื่องความบกพร่องในเรื่องนี้ มาทำลายเวลาที่ใช้ไปในการสร้างสายสัมพันธ์ที่ยาวนาน เพื่อนคนนี้รักษาความลับส่วนตัวของผมไว้ไม่ได้ เพราะความบกพร่องของเขา แต่เขากลับสามารถรักษาสัญญากับผมเสมอไม่ว่า เรื่องเงิน เรื่องงาน หรือ ความลับทางธุรกิจ ความเป็นคนมีน้ำใจดี ช่วยเหลือผู้อื่น รักครอบครัว และ รู้จักที่ยอมรับผิดและขอโทษเมื่อได้ทำผิด
ภาพในหัวคุณผู้อ่านคงคิดว่า 'โห .. นี่มันความคิดระดับเทพชัด ๆ ช่างแสนดีจริง ๆ'
ผมขอตอบคุณว่า โปรดอย่าเข้าใจผมผิด ผมมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ 14 คน ผมตัดความเป็นเพื่อนทิ้งไป 10 คนครับ ให้พวกเขากลายเป็นเพียง 'คนรู้จักที่คุยได้และไม่คิดร้ายต่อกันเท่านั้น'
เพื่อนคุณภาพมีไว้ร่วมเดินทางชีวิต
ส่วนนับได้อีกสิบ
มีไว้เป็นปริมาณเอาไว้สร้างภาพสวย ๆ
ถ่ายรูปหมู่สังสรรค์
มันเรียกยอดไลค์ได้ดีครับ