หรือ ฝนจะตกตลอดไป ?
จงสู้ต่อไป ไม่ว่าคุณจะเจอพายุอะไรในชีวิต จำไว้ว่าคุณไม่ได้สู้คนเดียว เริ่มจากก้าวเล็กๆ วันนี้ แล้วคุณจะพบว่าคุณแกร่งกว่าที่คิด
โรควิตกกังวล ความทุกข์จากโรคจิตเวช ปัญหาชีวิต ภาระครอบครัว ภาระชีวิต
ฝนตกพรำๆ อย่างไม่ยอมหยุดหย่อน สายฝนที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าดูเหมือนกำลังสะท้อนความเหนื่อยล้าในหัวใจของผม ทุกหยดน้ำที่กระทบพื้นดินเหมือนเสียงตะโกนใส่หน้าว่า “เฮ้ย มึงไม่ไหวแล้วโว้ย!” ความเครียดและความวิตกกังวลที่กองทับถมมานานทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ เหมือนน้ำฝนที่ไหลเอ่อล้นขอบถนนในวันที่พายุโหมกระหน่ำ ผมยืนอยู่ท่ามกลางพายุที่ไม่มีวี่แววว่าจะสงบลงเลยสักนิด
ตอนนั้นผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสายฝนที่เทลงมาไม่ขาดสาย มันทำให้นึกถึงเพื่อนสนิทของผม ชื่อแอน เจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ ย่านนิมมานฯ ที่เมื่อปี 2545 ถนนเส้นนั้นกลายเป็นจุดฮิตที่คนแห่กันมาเปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ จนกลายเป็นสมรภูมิเดือดของนักธุรกิจหน้าใหม่ แอนเคยเป็นดาวเด่นในวงการนี้ รอยยิ้มของนางเหมือนแสงแดดที่ทำให้ทุกคนหลงรัก แต่ผมรู้ดีว่าเบื้องหลังหน้ากากแห่งความสำเร็จนั้น แอนแบกความกดดันที่หนักจนแทบหายใจไม่ออก
ธุรกิจเกือบย่อยยับ
แอนเคยเล่าให้ผมฟังถึงวันที่ชีวิตนางเหมือนตกนรกทั้งเป็น ร้านกาแฟของนางเคยดังสุดๆ ลูกค้าแน่นร้านทุกวัน แต่พอคู่แข่งผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ยอดขายเริ่มร่วงกราว ยิ่งไปกว่านั้น นางดันไปกู้เงินธนาคารมากว่า 50% ของทุนทั้งหมดเพื่อขยายร้าน หวังจะสู้กับคู่แข่ง แต่กลายเป็นว่าหนี้ท่วมหัว พนักงานก็เริ่มมีปัญหา บางคนลาออก บางคนทำงานแบบขอไปที ลูกค้าบางส่วนก็หายไปกับร้านใหม่ๆ ที่มีกิมมิกแรงกว่า
“มึง มันเหมือนกูแบกโลกทั้งใบมาวางไว้บนอกกูเลยว่ะ” แอนเล่าด้วยน้ำเสียงที่ทั้งโมโหทั้งเหนื่อย “หนี้กองทับหัว ยอดขายตกเหว พนักงานก็งี่เง่า กูรู้สึกเหมือนมีก้อนเหี้ยอะไรไม่รู้หน่วงอกกูตลอดเวลา ตื่นมาก็คิด จะนอนก็คิด แม่งคิดจนกูจะบ้า”
นางยอมรับว่าในช่วงที่แย่สุดๆ นางพยายามหนีความเครียดด้วยวิธีที่ไม่เข้าท่า อย่างการซัดไวน์ราคาแพงทุกคืน หรือออกไปปาร์ตี้กับผู้ชายที่เจอตามผับเพื่อลืมปัญหา “กูคิดว่ามันจะช่วยให้กูหายเครียด แต่ที่ไหนได้ มันยิ่งทำให้กูรู้สึกเหมือนขยะ ยิ่งจมลงไปอีก”
แอนเล่าต่อว่า นางเคยตื่นเช้ามาด้วยอาการแฮงค์ มองตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกเกลียดตัวเอง “กูจมอยู่กับความชิบหายนี่ว่ะ ยิ่งพยายามควบคุมทุกอย่าง ยิ่งเหนื่อย เพราะกูต้องคิดดักหน้า ดักหลัง ดักกลางทาง แม่งยันดักตัวกูเอง กูรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งหนีพายุ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น”
ลุกขึ้นจากกองขี้เถ้า
บ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่นางเมาค้าง ตื่นมาจากอกผู้ชายจนแทบลุกไม่ไหว แอนบอกว่า อยู่ ๆ ตอนกรอกน้ำหวานเข้าปาก มันเหมือนมีอะไรมาสะกิดใจนาง นางจ่ายเงินผู้ชาย แล้วไล่ออกจากบ้าน มานั่งลงเล่นกับหมาในสวนข้างบ้าน แล้วก็ถามตัวเองว่า “มึงจะปล่อยให้ชีวิตชิบหายแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เหรอวะ ?” นั่น คือ จุดที่แอนตัดสินใจเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพราะนางอยากเป็นคนดีอะไร แต่นางแค่ “เบื่อความรู้สึกห่วยแตก”
แอนเริ่มต้นด้วยการยอมรับความจริงที่โคตรเจ็บปวดว่า มีหลายสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งที่โผล่มาใหม่ ความคิดเห็นของลูกค้า หรือแม้แต่เศรษฐกิจที่ผันผวน นางบอกว่า “กูเลิกฝันว่าจะควบคุมทุกอย่างได้แล้ว มันเหนื่อยว่ะ กูเลือกโฟกัสแค่สิ่งที่กูทำได้ดี”
นางเริ่มจากการกลับไปทำสิ่งที่ทำให้ร้านกาแฟของนางแตกต่างตั้งแต่แรก นางปรับปรุงคุณภาพกาแฟ ไปลงคอร์สเรียนคั่วกาแฟเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ นางเปลี่ยนร้านให้มีบรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้าน ด้วยการตกแต่งด้วยของมือสองและต้นไม้เล็กๆ ที่นางปลูกเอง ที่สำคัญ นางเริ่มจริงจังกับการดูแลทีมงาน คุยกับพนักงานแบบเปิดใจ จัดอบรมเล็กๆ เพื่อให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วม แทนที่จะแค่สั่งงาน
นอกจากนี้ แอนเริ่มฝึกทำสมาธิทุกเช้า วันละ 10 นาที นางนั่งเงียบๆ จิบกาแฟอุ่นๆ ที่ตัวเองชง แล้วปล่อยให้ความคิดมันไหลไปโดยไม่ตัดสิน “แรกๆ กูคิดว่ามันงี่เง่า แต่พอทำไปสักพัก มันเหมือนกูได้กวาดขยะในหัวออกไป” นางยังเริ่มเดินเร็วรอบสวนสาธารณะใกล้บ้าน บางวันก็วิ่งฝ่าสายฝนไปเลย “มันทำให้กูรู้สึกมีพลังว่ะ เหมือนกูพร้อมลุยใหม่”
ผมเจอโพสต์บน Twiiter สมัยนั้น ที่เขียนว่า
หลังจากได้ฟังเรื่องของแอน ผมตัดสินใจลองวิธีของนางบ้าง ผมยอมรับว่าความเครียดของผม —มาจากโรคจิตเวช ที่เรียกว่า 'โรควิตกกังวล' ซึ่งไอ้ตัวนี่ มันจะคูณความรู้สึกของความวิตกกังวลทุกอย่างไปอีกล้านพันเท่า
ผมวิตกกังวลเรื่องงานที่กองทับหัว เดดไลน์ที่ไล่บี้ และความคาดหวังจากคนรอบข้าง— สิ่งเหล่านี้ ผมรู้ว่า มันไม่ใช่สิ่งที่ผมควบคุมได้ทั้งหมด ผมเริ่มทำสมาธิวันละ 5 นาที ใช้วิธีที่หายใจเข้าออกช้า ๆ ตอนแรกก็รู้สึกฝืน ๆ แต่พอทำไปสักพัก มันช่วยให้สมองผมสงบลงจริงๆ
ผมยังเริ่มวิ่งตอนเย็น แม้ว่าบางวันฝนจะตก ผมก็เอาร่มคันเล็กๆ ไปด้วย สวนสุขภาพ มช. ของไม่ค่อยหาย ขึ้เกียจถือ ก็วางมันไว้ตรงนั้น วิ่งวนกลับมามันก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ และ การออกกำลังกายมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ระบายอะไรบางอย่างออกจากอก ช่วงนั้นเต้นคอร์สแอโรบิกทุกครั้งที่ไปออกกำลังกาย
ผมกลับมาเขียนบันทึก เหมือนเดิม เท่าที่ผมอยากเขียน เขียนถึงสิ่งที่ทำให้ผมหัวร้อน สิ่งที่ผมกังวล และสิ่งที่ผมรู้สึกขอบคุณ มันช่วยให้ผมเห็นว่าชีวิตไม่ได้เลวร้ายไปซะทั้งหมด
“You can’t stop the rain, but you can learn to dance in it. Own the storm.” คุณหยุดฝนไม่ได้ แต่คุณเรียนรู้ที่จะเต้นท่ามกลางสายฝนได้ เป็นเจ้าของพายุนั้นซะ ข้อความนี้ทำใทำให้ผมอยากลุกขึ้นสู้ ไม่ใช่แค่วิ่งหนีพายุ
เรื่องราวของแอนสอนผมว่า ต่อให้ชีวิตชิบหายแค่ไหน มันก็มีทางออกเสมอ แอนไม่เพียงแค่ฟื้นร้านกาแฟของนางได้ นางยังทำให้มันกลายเป็นที่รักของชุมชนอีกครั้ง ลูกค้าเริ่มกลับมา พนักงานเริ่มมีความสุข และหนี้ก้อนโตก็ค่อย ๆ ลดลง เพราะนางเลือกโฟกัสที่สิ่งที่ทำได้ แทนที่จะจมกับความชิบหาย
ผมเองก็เริ่มเห็นแสงสว่างในวันที่ฟ้าครึ้ม การทำสมาธิ การวิ่ง และการเขียนบันทึก ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ผมเรียนรู้ว่าเราไม่ต้องรอให้ฝนหยุดตกเพื่อเริ่มใช้ชีวิต เราสามารถเต้นรำท่ามกลางสายฝนได้ และที่สำคัญ เราไม่ต้องสู้เพียงลำพัง ผมเริ่มเปิดใจคุยกับเพื่อนและครอบครัวมากขึ้น และพบว่าการแบ่งปันทำให้ผมรู้สึกเบาลงเยอะ
“The strongest warriors are forged in the fiercest storms. Keep swinging.”
นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ถูกหล่อหลอมในพายุที่ดุเดือดที่สุด
จงสู้ต่อไป ไม่ว่าคุณจะเจอพายุอะไรในชีวิต จำไว้ว่าคุณไม่ได้สู้คนเดียว เริ่มจากก้าวเล็กๆ วันนี้ แล้วคุณจะพบว่าคุณแกร่งกว่าที่คิด