S-ERUM เซรัมทรีทเมนต์ผิวเห็นผลเร็ว
โพรไฟล์ ไลน์ 0
× ปิด

งานหนักจนใจพัง เปิดสัญญาณ เบิร์นเอ้าท์ ในวันที่โลกบอกให้สู้ แต่ใจตะโกนว่า พอเถอะ

เช็กอาการ เบิร์นเอ้าท์ (Burnout) ที่ไม่ใช่แค่เครียดงาน เจาะลึกสาเหตุจากระบบ Toxic และ 3 ขั้นตอนกู้ชีพจิตใจฉบับเร่งด่วน เพื่อชีวิตที่มีค่ามากกว่า KPI

งานและเงิน มี 6 บทความในหมวดหมู่นี้

เผยแพร่ :

ปรับปรุง :

แชร์ให้เพื่อน
งานหนักจนใจพัง? เช็กสัญญาณ เบิร์นเอ้าท์ (Burnout) พร้อมวิธีฮีลใจฉบับทำได้จริง
เช็กอาการ เบิร์นเอ้าท์ (Burnout) ที่ไม่ใช่แค่เครียดงาน เจาะลึกสาเหตุจากระบบ Toxic และ 3 ขั้นตอนกู้ชีพจิตใจฉบับเร่งด่วน เพื่อชีวิตที่มีค่ามากกว่า KPI

งานหนักจนใจพัง? เปิดสัญญาณ เบิร์นเอ้าท์ ในวันที่โลกบอกให้สู้ แต่ใจตะโกนว่า พอเถอะ

สามทุ่มกว่าแล้ว หน้าจอคอมพิวเตอร์ยังเป็นเพื่อนคนเดียวของคุณ เสียงแจ้งในกลุ่มไลน์ออฟฟิศดังขึ้นมา ก็ทำให้หงุดหงิด ทั้งกังวล ทั้งโมโห ร่างกายล้าจะปิดสวิทซ์แล้ว แต่สมองหยุดคิดเรื่องพรีเซนต์พรุ่งนี้ไม่ได้ ข้าวกล่องจากเซเว่นวางจนเย็นชืดอยู่ข้างคีย์บอร์ด ไม่ใช่เพราะลืมกิน แต่เพราะ ไม่มีอารมณ์จะกิน

อีกนิดเดียว เดี๋ยวก็เสร็จ แต่ลึก ๆ แล้วถึงงานนี้จะเสร็จก่อนไปนอน แต่คุณก็รู้สึกกังวลว่า พรุ่งนี้ ลูปนรก ก็จะวนกลับมาเหมือนเดิม

การทำงานหนัก วันละ 12-16 ชั่วโมง กลายเป็นความปกติใหม่ (New Normal) ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ มันกัดกินวิญญาณเราช้า ๆ กับคำถามหน้ากระจก กำลังพยายามเพื่ออะไร

ผมอยากบอกว่า คุณไม่ได้รู้สึกแบบนี้คนเดียว ในโลกออนไลน์มีเสียงตะโกนแห่งความเจ็บปวดนี้ดังก้องไปหมดครับ

  • เมื่อร่างกายและรายได้สวนทาง เหมือนที่คุณ @folder_hidden ระบายไว้ว่า ปีนี้อายุเข้าเลข 4 ปีแห่งการ Burn out ลูกค้าหาย รายได้ลด ร่างกายไม่เหมือนเดิม มันเจ็บปวดนะครับ ที่ยิ่งโต ภาระยิ่งหนัก แต่ไฟในใจกลับมอดลง

  • กับดักของชนชั้นออฟฟิศ มุมมองจุก ๆ จากคุณ @eattacoboi ที่โพสต์ว่า พนักงานออฟฟิศ... ถูกเอาเปรียบทุกทาง แต่เสือกคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าแรงงานคนอื่น มึงจะ burnout rustout กันตายห่าหมดแล้ว มันสะท้อนว่าเราต่างก็เป็นฟันเฟืองที่กำลังสึกหรอในระบบเดียวกัน

เราถูกปลูกฝังว่า ขยัน อดทน เครียดงาน แค่ไหนก็ต้องยิ้มสู้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ใช่ความสำเร็จเสมอไป กลายเป็นภาวะ หมดไฟ หรือ เบิร์นเอ้าท์ (Burnout) ที่ทำให้เรารู้สึกว่างเปล่า ไร้ค่า และอยากหนีไปให้ไกลที่สุด

ทุกคนกำลังวิ่งในระบบที่ออกแบบมาให้เหนื่อย และนั่นไม่ใช่ความผิดของคุณครับ

วิเคราะห์ศัตรู เกลียดงาน หรือ เกลียดที่ทำงาน ? แยกให้ออกครับ บางคนชอบเนื้องาน แต่เกลียดวัฒนธรรมองค์กร หรือ เกลียดหัวหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ ย้ายที่ทำงาน คือคำตอบ แต่ถ้าคุณเกลียดเนื้องาน ทำยังไงก็ไม่มีความสุข ฝืนตื่นมาทำทุกวันไม่ไหว อาจจะถึงเวลาต้อง เปลี่ยนสายงาน หรือหาอาชีพใหม่ มันยากกว่า แต่คุ้มค่ากว่าการทนทำสิ่งที่เกลียดไปตลอดชีวิตครับ

ภาพประกอบการ์ตูนสไตล์แอนิเมชันนุ่มนวลของพนักงานออฟฟิศที่เหนื่อยล้าตอนกลางคืน กำลังจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมอาหารที่ลืมกิน สะท้อนวงจรการทำงานหนักที่ไม่มีวันสิ้นสุด

แกะปม เบิร์นเอ้าท์ ใจพัง เพราะเราอ่อนแอ ... เหรอ ?

ระบบโลกสร้างลู่วิ่งที่หมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนขาขวิด ล้มคว่ำแล้ว ยังต้องลุกขึ้นยืนเองให้ได้ หลายคนไม่ได้ล้มเพราะขาตัวเองนะ แต่ล้มเพราะแรงถีบจากคนในออฟฟิศจร้า บางคนไม่ได้โดนแค่แรงเดียวนะ แต่โดนจากหลายแข้ง สหบาทาเลย

ภาวะ Burn out คืออะไร ? มันคือ ระบบ ที่บีบอัดร่างกายและจิตใจเราจากทุกทิศทางครับ เหมือนโดนสหบาทาชีวิตนั่นแหละครับ

สหบาทาชีวิตหลาย ๆ มุม

  • มุมความคาดหวังของเราในที่ทำงาน ต้องไม่โดนไล่ออก ต้องได้ขึ้นเงินเดือน ต้องได้โบนัสเยอะ ๆ ปลายปี
  • มุมค่าครองชีพ ค่าผ่อนคอนโด ค่าผ่อนรถ ค่าไฟฟ้า
  • มุมความฝัน อยากเก็บเงินกลับไปอยู่บ้าน อยากไปเที่ยวต่างประเทศ อยากได้รถคันใหม่
  • มุมคนที่เรารัก โอนให้แม่ จ่ายค่ายาให้พ่อ ค่าเทอมน้อง ค่าใช้จ่ายลูก

เห็นไหมครับ ชีวิตคนเราหาเลี้ยงชีพทำงาน เพื่อต่อสู้กับมุมชีวิตที่พร้อมจะทะเลาะ ต่อยตี กระทืบ กระทุ้งเราได้ตลอดเวลา

เมื่อก่อนคนค้นหาข้อมูลแค่ว่า Burnout แปลว่าอะไร แต่ตอนนี้ เขาค้นหาสิ่งที่เจ็บปวดกว่า Burnout กันแล้ว เช่น

  • หยุดงานยังไงโดยไม่โดนไล่ออก

  • วิธีรักษาสุขภาพจิตเมื่อไม่มีเงิน

  • อาการหมดไฟ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว

มัน คือ สัญญาณขอความช่วยเหลือ (SOS) ของคนที่กำลังจมชีวิตตายแล้ว

ภาพประกอบการ์ตูนสไตล์แอนิเมชันลึกลับของนักวิ่งที่กำลังหลุดพ้นจากวงล้อระบบการทำงาน สลายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมดไฟด้วยธีมความเข้มแข็งภายใน

แต่เช็กให้ชัวร์ก่อน ! Burnout หมดไฟ แตกต่างจากความเครียดทั่วไป อย่างไร?

หลายคนสับสนจุดนี้จนแก้ปัญหาผิดทางครับ เพราะถ้าไม่ได้ Burnout แต่เครียดทั่วไป การแก้ไขมันคนละทางกันเลย

ความเครียด (Stress)
คือ ภาวะ มากเกินไป (Overload) งานมากไป กดดันมากไป แต่คุณยังดิ้นรน ยังพยายามจะทำให้เสร็จ เหมือนคนกำลังจะจมน้ำที่ยังตะเกียกตะกายว่ายเข้าฝั่ง
เบิร์นเอ้าท์ (Burnout)
คือ ภาวะ ไม่เหลืออะไรเลย (Empty) พลังงานในใจเหือดแห้ง แรงจูงใจเป็นศูนย์ คุณ ยืนมองมันเฉยๆ แบบว่า .. ทำงานไปวัน ๆ เสร็จก็ช่าง ไม่เสร็จก็ช่าง ใครจะด่าก็ช่าง หรือ หนักถึงขั้น พรุ่งนี้ไม่ต้องการใช้เส้นทางเดิมเพื่อไปที่ทำงานอีกแล้ว

ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่า ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด หรือ มองงานที่เคยรักด้วยสายตาที่ว่างเปล่า นั่นแหละครับ คือ จุดเปลี่ยนที่บอกว่า คุณไม่ได้แค่เครียด แต่คุณกำลังเข้าสู่โซนอันตรายแล้ว

แล้วสัญญาณภาวะอาการป่วย Burnout ดูอย่างไร ?

ข้อมูลวิชาการจาก กรมสุขภาพจิต และแหล่งข้อมูลชั้นนำอย่าง MedPark หรือ TU Thesis แบ่งระดับความรุนแรง และ สัญญาณภาวะอาการป่วยเนื่องจากภาวะหมดไฟ ไว้ชัดเจนมาก

1. ร่างกายประท้วง (Physical Symptoms)

เหนื่อยแบบนอนไม่หาย
นอนครบ 7-8 ชั่วโมง ตื่นมาก็ยังเพลียเหมือนไปแบกหินมาทั้งคืน (Chronic Fatigue)
ระบบรวน
กรดไหลย้อน ขี้ไม่สุด ปวดหัวข้างเดียว โรคกระเพาะ ใจสั่น หายใจไม่ทั่วท้องคล้าย Panic Attack เวลาคิดเรื่องงาน
การนอนพัง
นอนไม่หลับ เพราะสมองไม่หยุดคิด (Insomnia) แต่บางคนก็นอนซมไม่อยากลุก (Oversleeping)

2. จิตใจแห้งเหือด (Emotional & Behavioral Symptoms)

อารมณ์แปรปรวน
หงุดหงิดง่ายกับเรื่องเล็กน้อย หรือ สลับขั้วเป็นซึมเศร้า ไม่อยากยุ่งกับใคร
มองโลกในแง่ร้าย (Cynicism)
เริ่มรู้สึกว่างานที่ทำมันไร้ค่า องค์กรเฮงซวย เพื่อนร่วมงานน่ารำคาญ ทั้งที่เมื่อก่อนคุณไม่ได้คิดแบบนี้
ประสิทธิภาพดิ่งลงเหว
สมองตื้อ คิดงานไม่ออก ทำงานพลาดในจุดที่ไม่ควรพลาด และเริ่มมีความคิดอยาก เท ทุกอย่าง

แล้วระดับของการ Burnout มีกี่ระดับ ? มันมี 5 ระดับครับ มันเหมือนสนิมกินเหล็กครับ

  1. ระยะฮันนีมูน (ไฟแรง) ยังทำงานได้อยู่ แม้จะมีภาวะกดดันต่าง ๆ
  2. เริ่มเครียด เริ่มรู้สึกตัวว่า เฮ้ยกูเครียดหวะ
  3. เครียดเรื้อรัง เริ่มรู้สึกว่า ความเครียด ความอ่อนล้าในใจมันต่อเนื่อง
  4. Burnout เต็มขั้น คือ พอแล้ว ไม่อยากทำงานที่นี่แล้วว้อยยย
  5. ถ้าปล่อยไว้นานจะกลายเป็น Habitual Burnout หรือ ความเจ็บปวดที่ฝังรากลึกจนแก้ได้ยาก

ถ้าคุณเช็กลิสต์แล้วโดนไปหลายข้อ สิ่งที่คุณเป็นอยู่ คือ อาการป่วย ไม่ใช่นิสัยส่วนตัว ดังนั้น หยุดโทษตัวเอง แล้วมาหาทางออกกันครับ

ภาพประกอบการ์ตูนสไตล์แอนิเมชันลึกซึ้งของบุคคลที่ถูกโซ่ตรวนด้วยจุดเจ็บปวดจากความหมดไฟ เช่น การพังทลายทางร่างกายและแรงกดดันทางการเงิน

เมื่อโลกบอกให้สู้ แต่แรงหมดแล้ว ขามันก้าวไม่ออก

อ่านมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกที่คุณแบกอยู่ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่ มัน คือ ผลผลิตของโครงสร้างสังคมที่บิดเบี้ยวครับ

คุณอยู่ในยุคที่ค่านิยม ความขยัน = คนดี ถูกปลูกฝังจนฝังรากลึก แต่ความจริงที่โหดร้าย คือ ระบบทุนนิยมกำลังสูบวิญญาณคุณไปแลกกับตัวเลขในบัญชี เหมือนที่คุณ @_anchr โพสต์รั้งสติมวลมนุษยชาติไว้ใน X ว่า

คนส่วนใหญ่ทำงานวันละสิบชั่วโมงจนหมดไฟ burnout เสียสุขภาพจิต โดยที่นายทุนคือคนกอบโกยความมั่งคั่ง เราไม่ได้ต้องการทำงานทั้งวันไปตลอดชีวิต แต่เราต้องการมีเวลาใช้ชีวิตด้วยเหมือนกัน

อ่านแล้วเจ็บจี๊ด คุณกำลังตกอยู่ในกับดักที่คิดว่าตัวเอง โชคดีที่มีงานทำ จนยอมให้ถูกเอาเปรียบ เหมือนที่คุณ @eattacoboi ได้ระบายไว้แบบตรงไปตรงมาว่า พนักงานออฟฟิศนอกจากไม่รู้จักสหภาพแรงงานแล้ว... ถูกเอาเปรียบทุกทาง... มึงจะ burnout rustout กันตายห่าหมดแล้ว นี่คือเสียงสะท้อนของ ความเครียดสะสมจากงานหนัก ที่ดังระงมไปทั่วโซเชียล ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่รู้สึกครับ

เมื่อความเจ็บปวดเป็น แผลเป็น

ผลกระทบของภาวะหมดไฟ ไม่ได้จบแค่ที่ออฟฟิศครับ แต่มันตามไปหลอกหลอนคุณถึงตอนนอน ผมขอแกะรอยความเจ็บปวด (Pain Point) ให้เห็นชัดๆ เป็นข้อๆ ว่า ปีศาจ ตัวนี้มันกัดกินคุณยังไงบ้าง

มันพังร่างกายของคุณ
ไม่ใช่แค่เพลียแล้วนะครับ แต่ระบบในร่างกายรวนไปหมด บางคน เครียดงาน จนกินไม่ได้ น้ำหนักลดฮวบ หรือ บางคนกินไม่หยุดเพื่อระบายความเครียด (Stress Eating) อาการนอนไม่หลับกลายเป็นเรื่องปกติ จนต้องลากสังขารไปทำงานทั้งที่สมองเบลอ เหมือนเครื่องจักรที่ไม่ได้หยอดน้ำมันมาเป็นปี
มันพังหัวใจของคุณ
ความเจ็บปวดที่ลึกที่สุด คือ การ ลืมไปแล้วว่าคุณเคยเป็นใคร เหมือนที่คุณ @btpenmhu เล่าไว้ว่า รู้ตัวอีกทีก็ทิ้งฝันนั้นไประหว่างทางแล้ว การ หมดไฟ มันน่ากลัวตรงนี้แหละครับ มันไม่ได้พรากแค่แรงกาย แต่มันพราก ความฝัน และ ตัวตน ของคุณไป จนเหลือแค่ความรู้สึกไร้ค่า
มันกระทืบซ้ำคุณในทุกวัน
วัฒนธรรมการทำงานประเทศไทย คือ สังคมที่กดทับด้วยคำว่า อดทน คุณจะถูกมองว่า การลาพัก = ความขี้เกียจ หรือ กลับตรงเวลา = ไม่ทุ่มเท ทำให้คุณไม่กล้าแม้แต่จะป่วย หรือ กลับตรงเวลา ความกดดันนี้สร้าง Toxic Workplace ที่บีบให้คุณต้องใส่หน้ากากว่า ไหว ทั้งที่ข้างในหัวใจคุณมันแหลกสลายไปแล้ว
มันลากการเงินของคุณออกมาขยี้
อยากออกใจจะขาด แต่หนี้สินค้ำคอ สภาพนี้เกิดขึ้นกับทุกอาชีพครับ ไม่เว้นแม้แต่คนเบื้องหลังกองถ่าย ที่คุณ @Anomedathethird เล่าถึงความเครียดจนต้อง นั่งพึมพำบทคนเดียว เพราะความกดดันหน้างานและความไม่มั่นคงในอาชีพ มันคือความเครียดที่หนีไม่ได้ ไล่ไม่ทัน

ความเจ็บปวดทั้งหมดนี้มันเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ครับ หลบก็ไม่พ้น ชนก็เจ็บ เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ทรมานที่สุดสำหรับคนทำงานยุคนี้

แล้วคุณใช้ชีวิตยังไง ทำไมถึงมาอยู่จุดนี้ได้?

คุณคงโทษตัวเองว่า อ่อนแอเองมั้ย ? ทำไมคนอื่นทนได้ ? หยุดความคิดนั้นก่อนครับ เพราะสาเหตุจริง ๆ มันมาจากระบบที่บิดเบี้ยวที่คุณต้องเจอทุกวันต่างหาก

  1. ระบบสร้างกับดัก คนเก่ง = งานงอก ยิ่งคุณทำงานดี ยิ่งรับผิดชอบสูง รางวัลที่คุณได้ มันดันไม่ใช่โบนัส แต่เป็น งานที่เพิ่มขึ้น ของคนอื่นที่โยนมาให้คุณ ระบบออฟฟิศลงโทษคนขยัน คนเก่ง ด้วยภาระที่หนักกว่าเดิม จนกลายเป็นความเครียดสะสม เหมือนแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว พลาดนิดเดียวโดนซ้ำ แต่ทำดีเสมอตัว
  2. ระบบสร้างสังคมทำงาน Toxic และ วัฒนธรรมทำงาน ห้ามพัก คุณต้องอยู่ในคอกเดียวกับเจ้านายที่ไลน์สั่งงานตอนดึก เพื่อนร่วมงานขี้นินทา อิจฉา แทงข้างหลัง ฉึก ๆ บางคนเจอแทงข้างหน้าด้วย แล้วดันเจอกรอบวัฒนธรรมองค์กรที่มองว่าการกลับตรงเวลา คือ ความขี้เกียจ พอคุณเห็นคนอื่นในที่ทำงานด้วยกัน โพสต์ลงในโซเชียลดูประสบความสำเร็จ (ทั้งที่เบื้องหลัง เขาอาจจะพังพินาศไปแล้วก็ได้) เราก็ยิ่งกดดันตัวเอง เปรียบเทียบตัวเอง จนรู้สึกว่าการพักผ่อน คือความผิดบาป
  3. ระบบลอคคอคุณไว้ด้วยใบแจ้งหนี้ ลาออกไม่ได้ เพราะใบแจ้งหนี้ค้ำคอ นี่คือความจริงที่เจ็บปวดที่สุด เกลียดงานแค่ไหน ร่างกายพังยังไง ก็ลาออกไม่ได้ เพราะภาระค่าใช้จ่ายที่รออยู่สิ้นเดือน เงินเดือนที่แทบจะไม่พอชนเดือน ทำให้เราต้องก้มหน้าทำ OT แลกเงิน กลายเป็นวงจรอุบาทว์สุด ๆ เครียด ทำงานหนักหาเงิน ใช้เงิน จน ป่วย เสียเงินรักษา เครียดกว่าเดิม ทำงานให้หนักกว่าเดิม ... อนันตกาลลลล โอ้ยยยยยเครียดแทน

ดังนั้น คุณไม่ได้หมดไฟเพราะคุณขี้เกียจกับชีวิตนะครับ แต่คุณแค่เหนื่อยกับการพยายามวิ่งในระบบลู่วิ่งที่ไม่เคยพาคุณไปไหนเลยต่างหาก

infographic แสดงวงจรระบบที่ทำให้เกิดอาการหมดไฟในคนทำงาน

วันนั้นจุดแตกหักของผม ... เมื่อชีวิตผมมันยันว่า กูไม่ไหวแล้วหวะ

มันจะมีวินาทีหนึ่งครับ วินาทีที่ทุกอย่างมัน เปราะบาง จนแตกสลายลงต่อหน้าต่อตา วันนั้นผม ร้องไห้ขณะนั่งรถเมล์ กลับบ้าน ตอนเวลาเที่ยงคืนกว่า ๆ

ผมรู้สึกถึงชีวิตที่อ้างว้าง หม่นหมอง ไร้ความหวัง ผมไม่อยากตื่นมาพรุ่งนี้ เพื่อมาตอกบัตรที่นี่อีกแล้ว และ ผมไม่อยากติดอยู่ในลู่วิ่งที่ระบบออกแบบมาให้นี้อีกแล้ว

นี่คือจุดพีคของ ผลกระทบของภาวะหมดไฟ ที่อันตรายที่สุดครับ ข้อมูลจากหลายคนบอกผมว่า มันคือการที่ร่างกายและจิตใจ ชัตดาวน์ ตัวเอง

  • บางคนน้ำหนักลดฮวบ 8 กิโล ฯ ภายในเดือนเดียว เพราะกินอะไรไม่ลง

  • บางคนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปแอบกรี๊ด หรือ นั่งสั่นเป็นเจ้าเข้าเพราะ Panic Attack กลางที่ประชุม

  • บางคนตื่นมาแล้วรู้สึกดิ่งลึกจนมีความคิดแวบเข้ามาว่า ถ้าวันนี้ฉันหายไปจากโลกนี้เลย ก็คงดีนะ

และสำหรับผม ผมเกือบวูบที่จะพุ่งเข้าไปชกหน้าเพื่อนร่วมงานตอแหล แบบร่างกายพร้อมปะทะ ผมเกือบจะระเบิดออกมา แล้วชี้หน้าด่ากราด มึง มึง มึง และ มึง ไอ้พวกที่อิจฉาผมที่ผมเก่งกว่า และเกือบวูบที่จะหยิบคีย์บอร์ดแล้วฟาด ฟาด ฟาด แล้วหัวเราะออกมาดัง ๆ

ถ้าคุณเคยมีความวูบลาง ๆ แบบนี้ ผมบอกเลยนะครับว่า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ และ ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะครับ อย่าฝืน

อย่าปล่อยให้คำว่า เดี๋ยวก็ผ่านไป หรือ ใครๆ เขาก็เหนื่อยกัน มาฆ่าคุณช้าๆ ความเจ็บปวดที่คุณรู้สึกมันเป็นของจริง มันคือ เสียงกรีดร้องสุดท้ายของชีวิตแล้ว ที่พยายามบอกคุณว่า เฮ้ยยยย พอเถอะ... รักตัวเองก่อนนนนนน

คุณจึงไม่ได้อ่อนแอที่คุณร้องไห้ แต่คุณเข้มแข็งมานานเกินไปต่างหาก นานจนลืมไปแล้วว่าหัวใจดวงนี้มันบอบช้ำแค่ไหน

ถ้าคุณกำลังมายืนอยู่ปากเหวตรงนี้เหมือนที่ผมเคยมา ผมขอให้คุณ หยุดวิ่งก่อนครับ โลกไม่แตกสลายหรอกครับ ถ้าคุณจะหยุดพักหายใจ แต่มันจะแตกสลายแน่ๆ ถ้าคุณฝืนวิ่งต่อไปจนชีวิตและหัวใจคุณแหลกสลายคาเท้าตัวเอง ถึงเวลาแล้วครับที่เราต้องกอบกู้ซากปรักหักพังนี้คืนมา ก่อนที่มันจะสายเกินแก้

infographic จุดแตกหักของการหมดไฟ อาการทางกายและใจ

เมื่อ สมอง และ ระบบ ร่วมมือกันทำร้ายคุณจนพัง

อย่าเพิ่งโทษตัวเองว่า ใจเสาะ หรือ ไม่อดทน สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์รองรับชัดเจน ข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ ยืนยันตรงกันว่า ภาวะ Burn out คืออะไร ? มัน คือ การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่รุนแรงในสมองของคุณครับ

เมื่อสมองของคุณถูกแช่แข็งด้วยความเครียด

มีคอร์ติซอล (Cortisol) ท่วมสมองคุณอยู่
เมื่อคุณ เครียดงาน สะสมเป็นเวลานาน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมาเหมือนน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งมันไปทำลายเซลล์สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์และความจำ ทำให้คุณ เออเร่อ คิดอะไรไม่ออก และ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
โดพามีน (Dopamine) หดหาย
สารแห่งความสุขและความพึงพอใจลดต่ำลง แม้ว่าคุณทำงานสำเร็จ คุณก็ไม่ดีใจ (Anhedonia) กลายเป็นความด้านชาที่น่ากลัว

แต่ที่โหดร้ายกว่าเคมีในสมอง คือ โครงสร้างสังคม ครับ

เรากำลังอยู่ในโลกที่ Glorify (เชิดชู) การทำงานหนักจนเกินเบอร์ วัฒนธรรมที่มองว่า การไม่ได้นอน คือ ถ้วยรางวัล เย้ .. ดีใจด้วยคุณได้ตายไวแน่ ๆ และ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ รายได้มันโตไม่ทันกับค่าใช้จ่าย ทำให้เราเหมือนหนูถีบจักรที่หยุดวิ่งไม่ได้ เพราะถ้าหยุด = อดตายสิครับ

ผมอยากให้คุณขีดเส้นใต้คำนี้ไว้เลยนะครับ Burnout คือ สัญญาณว่าชีวิตกำลังถูกกัดกินไปทีละส่วน ข้อมูลวิชาการระบุชัดว่า ถ้าปล่อยทิ้งไว้ มันไม่ใช่แค่เรื่องหมดไฟ แต่มัน คือ ประตูด่านแรกสู่โรคร้ายแรงทางกายอย่าง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และนำไปสู่ ภาวะซึมเศร้า เต็มรูปแบบในระยะยาว มัน คือ เดิมพันที่สูงเกินกว่าจะแลกด้วยเงินเดือนครับ

กอบกู้ชีวิตคืนมา... เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ก่อน

ถ้าคุณลาออกไม่ได้ตอนนี้ เราก็ต้องหาวิธี แก้ Burn out แบบที่จับต้องได้และ ทำได้จริง ในชีวิตประจำวันกันครับ แก้ไม่ได้ทั้งหมด ก็ขอให้มันลดลงไปได้บ้างก็ยังดี เนอะ

เหมือนเรากำลังปฐมพยาบาลใจตัวเองทีละขั้น โดยอิงจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทั้งจาก MedPark และ iStrong ครับ

Step-by-Step แผนปฏิบัติการกู้หัวใจ ทำมันพร้อม ๆ กันทั้ง 3 Step ได้เลยก็ยิ่งดี

1. เบื้องต้น กู้ชีพ ร่างหยาบ แบบเร่งด่วน (Emergency Physical Care) ก่อนจะไปรักษาใจ รักษากายก่อนครับ

  • เลิก นอนดึกเพื่อแก้แค้น (Revenge Bedtime Procrastination) รู้ครับว่ากลางวันไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง เลยอยากไถมือถือดูซีรีส์ตอนกลางคืนให้คุ้ม แต่นั่นคือการ ขโมยพลังงานของวันพรุ่งนี้มาใช้ สุดท้ายหนี้สะสม ร่างกาย Shutdown

    • Action ตัดใจวางมือถือ แล้วนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้สัก 3 วันติดกัน คุณจะเห็นโลกใบเดิมในเวอร์ชันที่สดใสขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ

  • กินข้าวให้เหมือนมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์ เลิกกินไปจ้องจอไป หรือรีบยัดข้าวกล่องเวฟเย็นชืดให้หมดๆ ไปที การกินคือช่วงเวลาเดียวที่คุณจะได้ตามใจปากและท้อง

    • Action มื้อเที่ยงต้องลุกจากโต๊ะ เดินออกไปข้างนอก สั่งของที่อยากกินจริง ๆ แล้ว เคี้ยว ช้า ๆ รับรู้รสชาติมันหน่อย สมองต้องการการพักจากการประมวลผลงาน มาประมวลผลรสชาติอาหารบ้างครับ

  • Disconnect to Reconnect (ตัดโลก เพื่อต่อติดกับตัวเอง) โลกไม่แตกหรอครับถ้าคุณหายไปสักพัก ตั้งกฎ Do Not Disturb ให้ตัวเองบ้าง

    • ระหว่างงาน พักทุก 2 ชั่วโมง ครั้งละ 15 นาที ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ไปกดน้ำ หรือแค่ออกไปสูดอากาศ อย่าเปลี่ยนจากหน้าจอคอมฯ ไปจ้องหน้าจอมือถือ ให้ตาได้พักจริง ๆ

    • หลังงาน ก้าวขาออกจากออฟฟิศปุ๊บ คือจบ ตัดขาดจากไลน์กลุ่มงาน ปิดการแจ้งเตือน หรือปิดเครื่องไปเลยถ้าทำได้ ให้เวลานี้เป็นของคุณ 100%

  • อย่านั่งเป็น ก้อนหิน หน้าคอมฯ นั่งท่าเดิมนาน ๆ เลือดไม่เลี้ยงสมอง บ่าแข็งเป็นหิน มันยิ่งทำให้เครียดสะสม

    • Action ยืดเหยียดมันตรงนั้นแหละครับ หมุนคอ หมุนไหล่ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจแรง ๆ สักที ให้ร่างกายรู้ตัวว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่อุปกรณ์สำนักงาน

2. ขั้นกลาง สร้างกำแพงปกป้องใจ (Set Boundaries & Mindset)

พอกายเริ่มฟื้น เราต้องมาซ่อม รั้วบ้าน ของเราครับ ที่ผ่านมาเราเปิดประตูอ้าซ่าให้ใครต่อใครเดินเข้ามาทิ้งขยะในใจเราได้ตลอดเวลา ถึงเวลาต้องล็อกกุญแจแล้วครับ

  • เลิกเป็น The Yes Man (ฝึกปฏิเสธให้เป็น) การพยักหน้าตอบรับทุกงาน เพราะเกรงใจ หรือ กลัวดูไม่ดี คือการ ทำร้ายตัวเองที่สุภาพที่สุด จำไว้ว่า การปฏิเสธงานที่ล้นมือ หรือ ไม่ตอบไลน์นอกเวลางาน ไม่ใช่ความผิด แต่มันคือการเคารพชีวิตตัวเอง ถ้าคุณไม่ขีดเส้นว่า นี่คือเวลาพักของฉัน ก็ไม่มีใครเกรงใจคุณหรอกครับ ท่องไว้เลยว่า เรามาทำงานแลกเงิน ไม่ได้มาขายวิญญาณ

  • ทิ้งคำว่า Perfectionist ลงถังขยะไปซะ หลายคน Burnout เพราะกดดันตัวเองว่างานต้อง เป๊ะ ทุกกระเบียดนิ้ว ยอมแก้แล้วแก้อีกจนไม่ได้หลับได้นอน เปลี่ยน Mindset ใหม่ครับ เอาแค่ Good Enough (ดีพอใช้ได้) ก็พอแล้วในบางเรื่อง งานเสร็จทันเวลา สุขภาพจิตไม่เสีย นั่นคือกำไรครับ อย่าปล่อยให้ความสมบูรณ์แบบมาเป็นปีศาจที่กัดกินคุณเลย

  • แยก ตัวงาน ออกจาก ตัวเรา ข้อนี้สำคัญมาก! งานพัง ไม่ได้แปลว่า คุณห่วย โดนตำหนิเรื่องงาน ให้ฟังแล้วแก้ที่เนื้องาน อย่าเก็บเอาคำด่ามาแทงใจตัวเอง เหยยยย เดี๋ยวก่อน คุณหนะมีค่ามากกว่าแค่ตำแหน่งงานหรือเงินเดือน วันหนึ่งถ้าเราลาออก บริษัทก็หาคนใหม่มาแทนได้ใน 2 สัปดาห์ เพราะฉะนั้น อย่าเอาคุณค่าทั้งหมดของชีวิตไปผูกไว้กับเก้าอี้ออฟฟิศครับ

  • หา ถังขยะระบายอารมณ์ ที่ปลอดภัย (Social Support) อย่าเก็บความประสาทแดกไว้คนเดียวครับ หันไปหาเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ (ที่กอดคอกันเหนื่อย) หรือ คนในครอบครัว แค่ได้พูดว่า วันนี้แม่*โคตรเหนื่อยเลย แล้วมีคนพยักหน้าเข้าใจ มันช่วยลดความหนักในอกไปได้เกินครึ่งแล้วครับ การรู้ว่า เราไม่ได้ซวยอยู่คนเดียว คือ ยารักษาใจชั้นดี

  • เทขยะในหัวลงกระดาษ (Brain Dump Journaling) ถ้าพูดกับใครไม่ได้ เขียนมันออกมาครับ ไม่ต้องใช้ภาษาสวยหรู เขียนด่า เขียนบ่น เขียนระบายความเครียดลงในทวิต หรือ เฟส ที่เป็นแอคหลุมปลอม ๆ ร่างอวตาร ก็ได้ วันละ 5-10 นาที พอมันออกมาจากหัวแล้ว ให้ลองปิดท้ายด้วย 3 สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ (เช่น กาแฟอร่อย, รถเมล์มาไว, ได้กลับบ้านเร็ว) มันจะช่วยดึงสติให้คุณเห็นว่า วันแย่ๆ ก็ยังมีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่บ้าง

3. ขั้นสูง วางแผนระยะยาว (The Escape Plan) จะอยู่หรือจะไป เอาให้ชัด

พอกายเริ่มดี ใจเริ่มนิ่ง สติจะกลับมาครับ ตอนนี้คุณยืนอยู่ตรงทางแยกแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามน้ำ ถามตัวเองให้ชัดแล้ววางแผนครับ ชีวิตเรา เราต้องเป็นคนขับ ไม่ใช่ผู้โดยสาร

  • วิเคราะห์ศัตรู เกลียดงาน หรือ เกลียดที่ทำงาน ? แยกให้ออกครับ บางคนชอบเนื้องาน แต่เกลียดวัฒนธรรมองค์กร หรือ เกลียดหัวหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ ย้ายที่ทำงาน คือคำตอบ แต่ถ้าคุณเกลียดเนื้องาน ทำยังไงก็ไม่มีความสุข ฝืนตื่นมาทำทุกวันไม่ไหว อาจจะถึงเวลาต้อง เปลี่ยนสายงาน หรือหาอาชีพใหม่ มันยากกว่า แต่คุ้มค่ากว่าการทนทำสิ่งที่เกลียดไปตลอดชีวิตครับ

  • อย่าเพิ่งลาออกไป ตายดาบหน้า ถ้ายังไม่มีที่ใหม่รองรับ อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นเดินไปตบโต๊ะเจ้านายครับ ความสะใจมันอยู่ได้แป๊บเดียว แต่ความหิวอยู่ยาวนะ ::: จริง ๆๆ (เคยมาแล้วววว 5555+)

    • Action เช็ค กระสุนสำรอง (เงินเก็บ) ว่ามีพออยู่รอดได้สัก 3-6 เดือนไหมถ้าไม่มีรายได้ ? ถ้ายังไม่มี กัดฟันทำต่อแล้วเร่งเก็บเงิน หรือหางานใหม่ให้ได้ก่อนค่อยไป ปลอดภัยไว้ก่อนครับ

  • ซุ่มเงียบ ลับมีด รอวันเชือด ในเมื่อเรายังต้องนั่งทำงานที่นี่ ใช้เวลาให้คุ้มครับ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ แอบไปลงเรียนคอร์สเพิ่มสกิล อัปเดตเรซูเม่ให้สวยหรู หรือสร้างคอนเนคชันเตรียมไว้ มองบริษัทปัจจุบันเป็น โรงเรียนฝึกวิชา ที่จ้างเรามาเรียนเป็นพอ ไม่เอาแล้วคะแนนเกรด KPI ประเมินผล พอเราเก่งพอ ปีกกล้าขาแข็งแล้ว วันนั้นอำนาจการต่อรองจะกลับมาอยู่ในมือเราครับ

  • กระจายความเสี่ยงความสุข (Diversify Happiness) อย่าเอาไข่ไปใส่ในตะกร้าใบเดียว อย่าเอาความสุขทั้งหมดไปผูกไว้กับ ความสำเร็จในงาน หาความหมายอื่นให้ชีวิตบ้าง จะปลูกต้นไม้ วิ่งมาราธอน ขายของออนไลน์ หรือเป็นติ่งเกาหลี อะไรก็ได้ที่ทำให้คุณรู้สึกว่า ฉันมีค่า โดยไม่ต้องรอให้เจ้านายมาประเมิน KPI

ชีวิตคุณ .. มีค่ามากกว่า KPI ที่ระบบตั้ง คุณเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ หนูถีบจักรในวงล้อ

ก่อนจะแยกย้ายกันไปสู้ต่อในโลกแห่งความจริง ผมอยากฝากอะไรบางอย่างไว้ให้ครับ

ผมและคุณ เราทุกคนต่างมีความฝัน มีสิ่งที่รัก มีคนที่อยากดูแล แต่เชื่อผมเถอะครับว่า ความฝันไม่ควรหายไประหว่างทาง เพราะงานมันกินชีวิตเราไปจนหมด

ไม่มีงานไหนในโลกที่คุ้มค่าพอจะแลกด้วยสุขภาพจิตและรอยยิ้มของคุณครับ

อย่าลืมนะครับว่า คุณมีคุณค่ามากกว่าตัวเลข KPI ที่ใครตั้ง ความเป็นมนุษย์ของคุณ ความอ่อนโยน ความคิดสร้างสรรค์ และความรักที่คุณมีให้คนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้มีค่ามหาศาลเกินกว่าจะวัดด้วยเกรดประเมินผลงานปลายปี

ชีวิตไม่ควรถูกเผาจนไหม้จนแหลกสลายเป็นผง เพียงเพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดี และ ความขยันให้ใครดู

วันนี้เหนื่อย ก็พักวางชั่วคราวก่อนครับ ก็มันทำได้เท่านั้น วางชั่วคราว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องสู้ต่อ แต่ถ้าวันนี้แน่ใจว่าไม่ไหวจริง ก็ถอยออกมาเลย ออกมาตั้งหลัก การใจดีกับตัวเองไม่ใช่เรื่องผิดบาป ขอให้จำไว้เสมอว่า งานคือ สิ่งที่ทำเพื่อให้มีชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต

สูดหายใจลึก ยิ้มให้ตัวเองตอนนี้เลย คุณเก่งมากแล้วที่ผ่านวันนี้มาได้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ คืนนี้... ฝันดีนะครับเพื่อน ๆ ผู้ร่วมทางเดินชีวิต

นี่คือ Checklist ฉบับ กู้ชีพทันที ที่สรุปจากเนื้อหาทั้ง 3 Step ของคุณครับ

ผมออกแบบให้มันดู Practical หยิบมาติ๊กถูกได้จริง ๆ โดยแบ่งเป็น สิ่งที่ต้องทำทุกวัน (Daily) , เป้าหมายรายสัปดาห์ (Weekly) และ แผนลับระยะยาว (The Master Plan) เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมและเริ่มลงมือทำได้เลยครับ

infographic ภารกิจกู้ชีพจากภาวะหมดไฟ checklist รายวันและระยะยาว

📝 Checklist: ภารกิจกู้ชีพฉบับเริ่มทันที (Survival Mode On)

1. รายวัน: กู้ร่างหยาบ ระบายของเสีย (Daily Routine)

เป้าหมาย: เอาชีวิตรอดให้พ้นวันแบบไม่พัง

  • [ ] มื้อเที่ยง ห้าม อยู่หน้าคอมฯ เดินออกไปข้างนอก สั่งของอร่อย แล้วเคี้ยวช้า ๆ (ห้ามเล่นมือถือตอนเคี้ยว!)

  • [ ] พักสายตา 15 นาที ลุกบิดขี้เกียจ หมุนคอ เดินไปกดน้ำ (ห้ามเปลี่ยนจากจอคอมฯ ไปจ้องจอมือถือเด็ดขาด)

  • [ ] ระบาย ขยะในหัว ลงแอคหลุม เข้าทวิต/เฟสอวตาร พิมพ์บ่นสั้น ๆ 5 นาที แล้วปิดท้ายด้วย 3 เรื่องดี ๆ ของวันนี้ (กาแฟอร่อย, ฝนไม่ตก)

  • [ ] ตัดขาดโลกงาน ก้าวขาออกจากออฟฟิศปุ๊บ ปิดแจ้งเตือนไลน์งานปั๊บ (หรือเปิด Do Not Disturb ทันที)

  • [ ] Challenge นอนก่อนเที่ยงคืน วางมือถือ เลิกแก้แค้นเวลา แล้วนอนซะ! (ขอลองทำติดกัน 3 วันก่อน)

2. รายสัปดาห์: สร้างรั้วบ้าน หาพวก (Weekly Mission)

เป้าหมาย: กันคนมาโยนขยะใส่ใจ เติมพลังใจ

  • [ ] ฝึกพูดคำว่า ไม่ 1 ครั้ง ปฏิเสธงานที่ล้นเกิน หรือปฏิเสธการตอบไลน์วันหยุด (เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ก่อนก็ได้)

  • [ ] เลิกแก้จนเป๊ะ (Good Enough) ปล่อยงานระดับ ดีพอใช้ ออกไปบ้าง ไม่ต้องแก้จนบรรลุนิพพาน เอาแค่ไม่โดนด่าก็คือกำไร

  • [ ] หาเพื่อนปรับทุกข์ นัดเพื่อนสนิท หรือคุยกับคนที่ไว้ใจ ระบายความ ประสาทแดก ของที่ทำงานออกมาบ้าง อย่าเก็บไว้คนเดียว

3. ระยะยาว: แผนลับแหกคุก (The Escape Plan)

เป้าหมาย: เตรียมตัวสู่อิสรภาพ (ทำแบบเงียบ ๆ)

  • [ ] เช็คกระสุนสำรอง (เงินเก็บ) คำนวณดูซิว่า ถ้าลาออกวันนี้ มีเงินอยู่รอดได้ถึง 3-6 เดือนไหม? (ถ้ายังไม่ถึง รีบเก็บเพิ่ม)

  • [ ] ลับมีดรอวันเชือด แอบอัปเดตเรซูเม่ หรือลงเรียนคอร์สสั้น ๆ เพิ่มสกิล (ใช้เวลางานที่ว่าง ๆ นี่แหละเรียน!)

  • [ ] แยกแยะศัตรู ถามตัวเองชัด ๆ อีกทีว่า เกลียดงาน หรือ เกลียดที่ทำงาน จะได้วางแผนย้ายถูกทาง

  • [ ] หาความสุขนอกงาน เริ่มทำอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับงาน (วิ่ง, ปลูกต้นไม้, ดูซีรีส์) เพื่อยืนยันว่า ฉันมีค่า แม้ไม่ได้ทำงาน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ อาการเบิร์นเอ้าท์ (Burnout) และวิธีฟื้นฟูจิตใจ

ความเครียดทั่วไป (Stress) กับ ภาวะหมดไฟ (Burnout) แตกต่างกันอย่างไร?
ฉันกำลังเข้าข่าย Burnout หรือไม่ เช็กอาการเบื้องต้นได้อย่างไร?
ทำไมถึงเกิดอาการ Burnout ทั้งที่พยายามอดทนและขยันทำงานแล้ว?
ถ้าเริ่มรู้สึกไม่ไหว ควรเริ่มต้นแก้ไขอย่างไรเป็นลำดับแรก?
ควรลาออกจากงานเลยไหม หากรู้สึก Burnout จนทนไม่ไหว?
จะจัดการกับความรู้สึกผิดเมื่อต้องปฏิเสธงาน หรือกลับบ้านตรงเวลาอย่างไร?
S-ERUM สบู่เซรัมเขากวาง สารสกัดธรรมชาติเพื่อเผยผิวใสตั้งแต่ล้างหน้า ราคา 65 บาท ฿490.00 - ฿590.00
S-ERUM สบู่เซรัมเขากวาง สารสกัดธรรมชาติเพื่อเผยผิวใสตั้งแต่ล้างหน้า ราคา 65 บาท ฿490.00 - ฿590.00
S-ERUM สบู่เซรัมเขากวาง สารสกัดธรรมชาติเพื่อเผยผิวใสตั้งแต่ล้างหน้า ราคา 65 บาท ฿490.00 - ฿590.00
S-ERUM สบู่เซรัมเขากวาง สารสกัดธรรมชาติเพื่อเผยผิวใสตั้งแต่ล้างหน้า ราคา 65 บาท ฿490.00 - ฿590.00
ยังไม่มีคอมเมนต์
แสดงความเห็นเฉพาะสมาชิก คลิกที่นี่เพื่อเข้าระบบ
เข้าระบบสมาชิกเพื่อร่วมสนุกตอบคำถามสะสมคะแนนกับฮักทูฮีล

บทความที่เกี่ยวข้อง

เวลาในการอ่าน
00:00
"ชีวิตอันแสนสั้น เรากำลังทำสิ่งใด"
Foot Image
ทางลัด
สารบัญ