ค่ำของวัน... เมื่อคุณได้กลับถึงห้องแล้ว ก็รีบทิ้งตัวลงบนเตียง ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งถาโถมเข้ามา เหมือนแบตเตอรี่เสื่อมที่ชาร์จไม่เข้า
อยากกดปุ่ม Mute ใส่โลก เพราะเสียงในหัวมันตะโกนว่า "เหนื่อย...ที่จะต้องแกล้งทำตัวปกติ"
ถ้าคุณกำลังรู้สึกแบบนี้ คุณไม่ได้บ้า และ คุณไม่ได้รู้สึกแบบนี้อยู่ตัวคนเดียวครับ
เมื่อคำว่า "อยากอยู่คนเดียว" เริ่มจะไม่ใช่แค่การขอพักผ่อนแล้ว... เราถูกสอนว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องเข้าหาคน ต้อง Friendly ถึงจะประสบความสำเร็จ แต่ไม่มีใครบอกเราว่า ต้องทำยังไงในวันที่ใจไม่อยากคุยกับใคร?
ทำไมเราถึงไม่อยากคุยกับใคร? (Defense Mechanism)
เมื่อคุณ รู้สึกโดดเดี่ยว หรือ รู้สึกไม่มีค่า สมองจะใช้ กลไกป้องกันตัว (Defense Mechanism) เพื่อสั่งการให้คุณถอยห่างจากผู้คนเพื่อ "ลดการบาดเจ็บ" ทางอารมณ์ มันไม่ใช่ว่าคุณเกลียดการเข้าสังคม แต่เพราะลำพังแค่การประคองตัวเองให้ผ่านไปแต่ละวัน มันใช้พลังงานหัวใจข้างในอย่างมหาศาล จนไม่เหลือเผื่อแผ่ให้ใครแล้วต่างหาก
Introvert หรือ Social Isolation? เส้นบางๆ ที่คุณอาจมองข้าม
คุณต้องแยกให้ออกระหว่าง "นิสัย" กับ "อาการป่วยทางใจ" เพราะสองคำนี้ เส้นแบ่งของมันบางนิดเดียวครับ
1. คนโลกส่วนตัวสูง (Introvert): คนกลุ่มนี้คือคนที่ "ชาร์จพลัง" ด้วยการอยู่เงียบๆ (Solitude) การได้นั่งโง่ๆ คนเดียว นอนไถฟีดตามลำพัง ฟังเพลง หรืออ่านหนังสือ มันคือช่วงเวลาของการขึ้นสวรรค์ การอยู่คนเดียวทำให้เขามีพลัง เพื่อกลับไปเจอผู้คนใหม่
สรุปง่ายๆ: Introvert เลือกที่จะอยู่คนเดียวเพื่อเติมพลัง และมีความสุขกับมัน
2. การแยกตัวจากสังคม (Social Isolation): อันนี้คือสัญญาณบอกว่า หัวใจคุณกำลังต้องการหนีครับ มันไม่ใช่การชาร์จพลังแล้ว คุณต้องการหนีเพราะรู้สึกไร้ค่า หนีเพราะเสียงในหัวบอกว่า "คุยไปก็เหนื่อยเปล่า" หรือ "ไม่มีใครอยากฟังเรื่องของมึงหรอก"
สรุปง่ายๆ: Social Isolation เกิดจากความกลัว ความเจ็บปวด และรู้สึกไม่ปลอดภัย
ข้อมูลวิชาการทางจิตวิทยาจาก Chula Mental Health และงานวิจัยต่างประเทศระบุตรงกันว่า เมื่อคนเรามีความรู้สึก โดดเดี่ยวเรื้อรัง (Chronic Loneliness) สมองจะเริ่มมองเห็นสังคมเป็น "ภัยคุกคาม" เราจะเริ่มระแวง ตัดสินตัวเองรุนแรง และกลัวการถูกตัดสินจากคนอื่น (Fear of Social Judgment) จนขังตัวเองไว้ในห้องขังที่มองไม่เห็น
5 สัญญาณเช็คให้ชัวร์ว่า "หัวใจ" ของคุณยังไหวอยู่ไหม?
ขอให้คุณวางความเข้าข้างตัวเองลงก่อน แล้วเช็คลิสต์นี้ดูอย่างซื่อสัตย์ครับ ถ้าคุณมีอาการเกิน 3 ข้อ มันอาจไม่ใช่แค่นิสัย แต่มันคือ สัญญาณขอความช่วยเหลือ (SOS) ของหัวใจคุณเอง
-
ความสุขระเหยหาย (Anhedonia): ซีรีส์ที่เคยตั้งตารอ อาหารร้านโปรด หรือกิจกรรมที่เคยทำแล้วฟิน วันนี้กลับรู้สึกเฉยชา ทำไปงั้นๆ ให้เวลาหมดไปวันๆ
-
ความนับถือตนเองต่ำเตี้ยเรี่ยดิน (Low Self-Esteem): ต่อให้ทำงานสำเร็จไป 10 อย่าง แต่สมองคุณกลับวนเวียนคิดถึงแค่ความผิดพลาดซ้ำๆ และเปรียบเทียบตัวเองกับความสำเร็จของคนอื่นบ่อยๆ
-
รู้สึกเป็นภาระ (Feeling like a burden): ไม่กล้าทักหาเพื่อน ไม่กล้าปรึกษาใคร เพราะกลัวเขาจะรำคาญ กลัวเอาเรื่องลบๆ ไปใส่เขา
-
ร่างกายประท้วง (Physical Symptoms): นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ หรือบางคนก็นอนทั้งวันไม่อยากตื่นมากินข้าว (Sleep & Appetite disturbance)
-
อารมณ์เปราะบาง (Emotional Fragility): เรื่องเล็กนิดเดียวทำให้คุณดิ่งได้ทั้งวัน หรือร้องไห้ออกมาโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
บทสรุป: การยอมรับความอ่อนแอ คือความกล้าหาญ
ถ้าคุณมีอาการมากกว่า 3 ข้อ และรู้สึกว่า "นี่มันเรื่องของกูชัดๆ" ก็ให้หายใจเข้าลึกๆ ครับ
การยอมรับรู้ว่า "แบตเตอรี่ใจ" ของคุณกำลังวิกฤต และมัน "ไม่ไหวแล้ว" คือความกล้าหาญที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ ด้วยการซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองครับ
ใน EP.2 ผมจะชวนคุณเข้าไปหาสาเหตุและที่มาของปัญหา – ทำไมต้องเป็นฉันที่รู้สึกแบบนี้? เพื่อที่เราจะถอดรหัสกันต่อว่า "ไอ้ความรู้สึกโดดเดี่ยวหรือ รู้สึกไม่มีค่า พวกนี้มันมาจากไหน?" อะไรคือรากเหง้าของปีศาจตัวนี้ เพราะการรู้ทันมัน คือก้าวแรกของการเอาชนะมันครับ








