ชีวิตเรานั้นเหมือนดอกไม้แรกแย้ม งามสะพรั่งรับอรุณ แต่เมื่อถึงคราวร่วงโรย ก็จำต้องคืนสู่ดิน ไม่มีใครหลีกหนีสัจธรรมนี้พ้น
เมื่อวาน มีข้อความทางไลน์ส่งมาถึงผม ลูกน้องคนหนึ่งที่เราเคยร่วมงานกันมา ห่างกันเพียงสิบกว่าปี ผมยังจำภาพวันที่ผมรับเขาเข้ามาทำงานได้ดี วันที่เด็กหนุ่มปีสี่ หน้าตาทะเล้น จบจากรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกับผม ได้ก้าวเข้ามาสู่โลกการทำงานของออฟฟิศกลางกรุง ย่านถนนสีลมผมรับเขาเข้ามาทำงานด้วยคำตอบเดียวในการสัมภาษณ์ของเขา 'ผมไม่ใช่คนเก่ง จริง ๆ นะพี่ แต่ผมฝึกได้ สอนได้ แต่ผมชอบถามเยอะหน่อย ถ้าไม่ชอบผมที่ผมเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องรับผมก็ได้ครับ' แล้วก็ตามด้วยรอยยิ้ม ที่ยิ้มที มันหน้าทะเล้นที่เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเวลา
คำตอบที่ทำให้ผมอึ้ง ตั้งแต่เขาเรียกผมว่า 'พี่' ซึ่งมันไม่ควรเรียก แต่เขาก็เรียกด้วยน้ำเสียงที่มันออกมาจากใจที่ให้ความผูกพัน และ คำท้าทายของเขาที่ชวนให้ผมอยากรู้ว่า ถ้ารับเขาเข้ามาแล้ว มันจะทำได้อย่างที่มันพูดไหม
การทำงานตลอด 4 ปีที่ผมทำงานก่อนจะลาออก ผมประทับใจในความลงตัวของเขามาก แม้งานจะเครียดแค่ไหน แต่เขาเหมือนเครื่องผลิตมุขตลกและเสียงหัวเราะให้เพื่อนร่วมงานได้เสมอ โดยที่ความจริงจังในการทำงานไม่เคยลดลงเลย ผลงานของเขาค่อนข้างตรงเวลา และ ที่ผมจำได้แม่น คือ น้องไม่เคยมาทำงานสายเลยสักครั้ง .. อาจเพราะว่า บ้านอยู่ห่างจากตึกแค่ 15 นาทีด้วย
'ผมส่งกุ้ยช่ายที่เยาวราชให้อาม่าด้วยตั้งแต่ตีห้า ผมเลยไม่สาย ตื่นตั้งแต่ตีสีครึ่ง ง่วงชิบหายพี่'
'อาม่ากับพ่อช่วยกันทำขาย แม่ผมหนีไปกับผัวใหม่' ผมจำเรื่องนี้ได้ตอนกินข้าวกลางวันกัน
'ผมอยากย้ายไปอยู่เชียงใหม่พี่ เขาว่าสวย ผมยังไม่เคยไปเลย มันหนาวมากไหมพี่' เจ้าตัวถามด้วยความคาดหวังคำตอบจากผม
.
.
แต่วันนี้ เขาจากไปแล้ว ด้วยโรคร้ายที่พรากชีวิตในวัยเพียง 38 ปี
สามสิบแปดปี ช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังผลิบาน สร้างรากฐาน เติมเต็มความฝัน แต่ "มะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย" กลับพรากทุกสิ่งไปอย่างไม่ไยดี
บทสนทนาครั้งสุดท้ายเมื่อปีที่แล้ว ยังคงก้องอยู่ในความทรงจำของผม เขาเล่าถึงความหวังถึงอนาคตอันใกล้ ร้านกาแฟเล็ก ๆ แถวเจริญกรุงที่จะกำลังตกแต่งและกำลังจะเปิดก่อนเมษายน ปี 2568
'ตั้งแต่พี่ลาออกไป หัวหน้าใหม่แม่งงี่เง่าชิบหาย ผมไม่ไหวละ เก็บเงินมาได้ สามปี ผมจะเปิดร้านกาแฟ'
.
.
แต่แล้วทุกอย่างก็เหมือนปราสาททรายที่ถูกคลื่นซัด พังทลายลงเมื่อปลายปีที่แล้ว วันที่โรคร้ายปรากฏตัว ความฝันทั้งหลายก็ดับวูบ เหมือนเปลวเทียนต้องลม
'พี่ผมจะตายไหม ผมยังไม่อยากตาย' เสียงที่น้องส่งมาเป็นคลิปทางไลน์ ผมยังคงเปิดฟังซ้ำ ๆ ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง 'พี่ถ้าผมหาย ผมจะไปแต่งร้านต่อนะ แต่งเสร็จแล้วผมจะลาออก ผมจะได้พักด้วย' ผมกดหยุด... หยาดน้ำตาก็ร่วงริน
แม้ชีวิตจะถาโถมใส่น้องอย่างหนักหน่วงในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาก แต่น้องก็สู้ ... สู้สุดกำลัง 'ผมหายแน่นอนคร้าบบทุกท่าน หมอที่นี่เก่ง' นี่คือโพสต์บนเฟสบุค เมื่อวันที่รับคีโมเข็มแรก
เขาเหมือนนักรบที่ลงสู่สนาม เมื่อตอนทำงาน เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมาก ๆ เขารับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดด้วยเงินเดือนของเขา
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เป้าหมายเดียวของเขา คือ ชัยชนะที่จะต้องคว้ามาให้ได้ เพื่อคนทีเขารัก เพื่อพ่อและอาม่า
แต่คงเพราะสนามแข่งชีวิตที่ไม่คุ้นเคย ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ จบลงด้วยความพ่ายแพ้ที่ไม่มีโอกาสอีกครั้ง .. อย่างน่าเศร้า
.
.
ผมยังคงถามตัวเอง เหตุใดโชคชะตาถึงเล่นตลกกับชีวิตได้อย่างโหดร้าย ราวกับว่ามันอิจฉาความงดงามของชีวิตที่กำลังเบ่งบาน หากชีวิตผลิบานสะพรั่งจนสะดุดตาแล้ว มันจะต้องเด็ดให้ร่วงโรยลงกับมือ
แม้ในวิถีแห่งเซน... "ชีวิต คือ อนิจจัง" ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ ทุกสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือสัจธรรมที่เราต้องเผชิญ
แต่การสูญเสียคนที่รัก ก่อนเวลาอันควร มันยังคงเป็นบาดแผลลึก ที่ยากจะเยียวยา
.
.
ผมเลื่อนดูรูปน้องในหน้าจอ... ภาพสุดท้ายเมื่อสามวันก่อน รอยยิ้มแห้ง ๆ ท่ามกลางสายน้ำเกลือในห้องผู้ป่วย แม้ใบหน้าจะซูบผอมลงไปมากจนแทบไม่เหลือเค้าโครงคนเดิม และบ่งบอกถึงความอ่อนล้า แต่แววตานั้นยังคงสดใส เหมือนวันที่เราพบกันเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
.
.
ผมอยากจะเตือนทุกคน อย่าประมาทชีวิต อย่าคิดว่าโรคร้ายอยู่ไกลตัว มันคืบคลานเข้ามาใกล้กว่าที่เราคาดคิด
การดูแลสุขภาพ การหมั่นตรวจร่างกาย คือเกราะป้องกันที่สำคัญ เพราะการพบเจอโรคในระยะเริ่มต้น ย่อมมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้
อย่าปล่อยให้ความละเลย พรากโอกาสในการมีชีวิตอยู่ต่อไป
ชีวิตเรานั้นแสนสั้น จงใช้ทุกวันให้มีความหมาย ทำในสิ่งที่รัก ดูแลคนที่รัก และสร้างคุณงามความดีไว้ในโลกใบนี้
ความตายมิใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นการเปลี่ยนผัน เป็นการเดินทางสู่ภพภูมิใหม่
ผมหวังว่าน้องจะไปสู่สุคติ ไปสู่ดินแดนแห่งความสงบสุข นิรันดร์
และหวังว่าเรื่องราวของน้อง จะเป็นบทเรียนให้พวกเราทุกคน ตระหนักถึงคุณค่าของลมหายใจ และหันมาใส่ใจดูแลร่างกายของเราให้ดีที่สุด
เพราะชีวิต... มีค่าเกินกว่าที่เราจะปล่อยให้มันจากไปอย่างน่าเสียดาย
'จงเป็นผีเสื้อที่สวยงามและเริงระบำอยู่ในสายลมที่หวนคืนนะ .. ไอ้ป๋อ'















เมื่อแสงทองต้องฟากฟ้า
ใจร่ำลาวางภาระหนัก
ปล่อยทุกข์โศกโรคและรัก
สู่เส้นทางภพใหม่ไสวไกล
สายลมห่มห้วงกาลสว่าง
ชโลมทางด้วยรักละไม
หอมบุปผากรุ่นอุ่นดวงใจ
รอรับไว้ด้วยเพลงพรหมพร
เสียงระฆังดังก้องภพใหม่
พรแสงไสวแต้มใจอาทร
โอบอ้อมห่มใจละมุนอวล
ร่วมร่ายบทชวนสวรรค์ชม
ขอจิตนี้ลอยล่องเบา
ผ่านรุ้งเงาเมฆขาวสายลม
สู่แสงทองเรืองรองภิรมย์
ละความขมสู่สุขนิรันดร์
ขอให้น้องป๋อ เดินทางไปสู่ดินแดนแห่งความรักที่สงบสุขค่ะ ลิงค์นี้ปลอดภัยเราตรวจสอบแล้ว
— ไม่ระบุตัวตน
มาช่วยเติมเนื้อเพลง ^_____^ ให้
*คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดสักแห่ง คงมีใครสักคนรออยู่ตรงนั้น คงมีความหมายใดซ่อนอยู่ ในการรอคอยที่แสนนาน คงจะมีสักวันฉันคงได้เจอ เจ็บมาแล้วตั้งกี่ครั้ง เมื่อความรักพังทลาย จะมีใคร ที่เป็นคนสุดท้าย. เธอคนนั้นอยู่แห่งไหน จะไกลแสนไกลเท่าไหร่ ก็จะไป ที่ดินแดนแห่งนั้น จะขอเอาคำว่ารัก ทุกคำที่ฉันได้เคยเอ่ย จะขอมันคืน จากใครที่เคยผ่านเข้ามา จะขอรวมคำว่ารักเหล่านี้ ทวีความหมายและคุณค่า จะขอเอามา มอบไว้ให้เธอผู้เดียว ข้ามขอบฟ้าแผ่นน้ำ หรือขุนเขาทะเลทราย ไกลเท่าไรจะไปให้ถึง โอ้.. ( * ) ข้ามขอบฟ้าหรือขุนเขา ข้ามแผ่นน้ำทะเลกว้างใหญ่ แต่ฉันจะไปหาเธอ จะขอรวมคำว่ารักเหล่านี้ ทวีความหมายและคุณค่า จะขอเอามา มอบไว้ให้เธอผู้เดียว คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดสักแห่ง
ยืนยันการลบความเห็น