ไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไง แต่จั่วหัวได้ว่า “ชีวิตคนเรามันจะซวยได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ?”
ผมชื่อตั้ม (ขอสมมตินะครับ) แต่ผมอยู่บุรีรัมย์ ตอนนี้อายุ 40 แล้ว ผ่านชีวิตมาแบบที่ถ้าให้ย้อนกลับไปเล่าให้ตัวเองตอนเรียนจบฟัง ตัวเองในวันนั้นคงตบหน้าตัวเองในวันนี้แล้วบอกว่า “มึงโกหก!” เพราะชีวิตมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เคยฝันไว้เลย
สมัยเรียนมหา’ลัย ผมไม่ได้เก่งอะไรเป็นพิเศษ ไม่เคยได้เกียรตินิยม ไม่เคยเป็นดาวเด่นของคณะ แต่ผมขยันโคตร ๆ เพื่อนไปนอน ผมยังนั่งอ่านหนังสือ เพื่อนไปเที่ยว ผมไปเฝ้าร้านเน็ตสมัยที่มันยังฮิต ๆ หารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ฝันว่าสักวันชีวิตต้องดีขึ้นแน่ ๆ ผ่านไปยี่สิบปี ผมได้เงินเดือนสูงสุดในชีวิต 13,700 บาท วันนั้นดีใจมาก วิ่งไปซื้อหมูปิ้งมาแจกทั้งแผงเลยครับ แจกแบบไม่สนใจว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร เพราะคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดี
แต่ไม่เลย…ชีวิตมันเหมือนรถไฟเหาะที่วนแต่ลงเหว
เบื่อเงินเดือน เลยลาออกมาขายเสื้อผ้า ของกระจุกกระจิดที่ตลาดนัด คิดว่าน่าจะรอด วันแรกที่ไปตั้งร้าน ลมแรงมาก เต๊นท์ปลิวว่อน ผมวิ่งไล่จับเต๊นท์เหมือนหมาไล่รถ
วันที่สอง ขายไม่ได้สักชิ้น
วันที่สามสิบก็ .. เจ๊งครับ
ไม่ต้องรอถึงวันที่สามสิบเอ็ด ผมก็เก็บของกลับบ้าน ของก็ขายทิ้งให้เพื่อน ๆ ในตลาดนัด แจกมั่งก็มี เก็บจนเสียก็มี ด้วยหนี้ก้อนแรกในชีวิตเลย
แต่ไม่ยอมแพ้ครับ เงินยังพอเหลือ ผมคิดว่าอาหารน่าจะรอด เพราะผมทำไข่เจียวอร่อย! เลยเปิดร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ในซอกข้างหอ มันก็มีวินมอไซต์อยู่ข้างๆ ด้วยนะ
วันแรกที่เปิดร้าน วันนั้นผมได้เงิน 200 กว่า บาท แต่ใจมันพองโตเหมือนได้ล้าน
ร้านอยู่ได้แค่สองเดือนครับ เพราะไม่มีคนซื้อจริงๆ แต่คนเดินผ่านนี่ของแท้ โคตรเยอะ สุดท้ายก็ปิดตัวลง ผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันเหมือนเล่นเกมที่ตั้งค่าโหมดยากเกินไป
แต่ผมก็ยังสู้ต่อ หันไปเปิดร้านน้ำปั่นกับเพื่อนสนิทในตลาดนัดแถว ๆ ที่ทำงานเก่า ผมทุ่มเงินเก็บทั้งหมดที่มี เพื่อนก็บอกว่าเอาเงินมาเพิ่มเหมือนกัน เราเริ่มต้นด้วยความหวังเต็มเปี่ยม…ก็ผ่านมาได้ปีกว่า ๆ แหละครับ เรื่องมันยาว ก็คือ ผมไปหาแม่หลายวันเลย สิบกว่าวันได้ ผมก็ไม่ด้คุยกับเพื่อนอะไร
พอกลับมาถึงหอ ผมก็รีบเก็บของแล้วก็จะไปเปิดร้าน ก็คิดว่า เพื่อนมันคงจะยุ่งอยู่ ผมเดินเข้าไปร้านเข้าไปแล้วพบว่า ลอกของร้านผม ร้านมันว่างเปล่า เพื่อนหายไปพร้อมกับของ กับเงินก้อนสุดท้ายของร้าน
ผมโทรไปตาม มันบอกว่า “มันติดพนันบอล เอาเงินที่มีคืนเจ้าหนี้โต๊ะ แล้วมันไม่หมด มันกลัว ก็เลยหนี” ผมยืนตัวแข็งอยู่หน้าร้านเลย มันมืดวิ้งไปหมด
หลังจากนั้น ผมกับเพื่อนคนนั้นก็ทะเลาะกันหนัก เลิกคบกันไปเลย ไม่นานเกินท้อ แฟนผมที่คบกันมาเกือบห้าปีก็มาบอกเลิก มาบอกว่า “เธอดีเกินไป” ผมได้ยินประโยคนี้แล้วอยากหัวเราะดัง ๆ ดีเกินไปแล้วทำไมทิ้งวะ? แต่สุดท้ายก็ได้แค่ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วปล่อยให้เขาไป
สุดท้าย ผมกลับบ้านนอก เงินหมด มือเปล่า ใจก็เปลี้ย แม่เห็นหน้าผมแล้วถอนหายใจ บอกว่า “กลับมาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่เลี้ยงปลาหมอส่งตลาด อย่างน้อยก็มีกิน”
ผมเลยเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเลี้ยงปลาหมอในบ่อหลังบ้าน ทุกเช้าผมตื่นมาดูปลา ให้อาหารมัน ดูมันว่ายไปมา บางวันผมเหงาเกินไปจนเริ่มคุยกับปลา “เหนื่อยมั้ยวะ?” ผมถามมัน บางวันแม่เดินมาดู แล้วถามว่า “ลูกเอ๊ย ปลามันตอบมั้ย?” ผมยิ้มแห้ง ๆ ตอบไปว่า “ตอบจ้ะแม่ มันบอกว่ามันก็เหนื่อยเหมือนกัน”
ชีวิตที่บ้านนอกมันเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ผมเริ่มขายปลาหมอได้บ้าง แต่รายได้มันไม่พอกิน บางวันแม่ต้องเอาเงินเก็บมาให้ผมใช้ ผมรู้สึกผิดจนร้องไห้คนเดียวเงียบ ๆ ในห้องตอนกลางคืน รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ ทั้งที่อยากให้แม่สบาย
เพื่อนบ้านคนนึงแนะนำให้ลองขายของออนไลน์ ผมเลยลองขายของกระจุกกระจิกที่หาได้แถวบ้าน เช่น ใบตองแห้ง ไม้จิ้มฟันทำ
มือ อะไรที่พอขายได้ ผมถ่ายรูปลงโซเชียล บางวันขายได้ บางวันเงียบกริบ แต่ที่ได้ทุกวันแน่ ๆ คือคำถามในหัวที่ดังขึ้นทุกคืน “ชีวิตกูจะเหนื่อยอะไรขนาดนี้วะ?”
วันนึงผมไปส่งปลาที่ตลาด แล้วเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมที่นี่ ผมจำมันได้ เห็นมันข้ามถนน กำลังเปิดประตูรถเก๋ง ตอนนั้นคนชอบกันมา คือ ฮอนด้าแอคคอร์ดที่คันใหญ่ ๆ ใส่เสื้อผ้าดูดี
ผมยืนมองมันจากมุมถนนอีกฝั่ง เพราะกำลังขนกะบะปลาลงถัง ตัวผมเองอยู่ในชุดเสื้อยืดเก่า ๆ รองเท้าแตะขาด ๆ มือถือตะกร้าปลา ก็เลยไม่ได้เข้าไปทักมัน
แม่ง ... ร้านที่ผมต้องไปส่งปลา ผมไม่เคยรู้เลยว่า เป็นร้านของญาติมัน กำลังเคลียร์เงิน เพื่อนคนนั้มันทักว่า “ไอ้ตั้มมมม มึงทำอะไรเนี่ยะ?” ผมยิ้มฝืด ๆ บอกว่า “เลี้ยงปลา ขายของนิดหน่อย มึงล่ะ?” มันบอกว่า “มันเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งของห้างค้าส่ง เป็นผู้จัดการแล้ว” ผมพยักหน้า ยินดีกับมัน แต่ใจมันเจ็บแปลบ ๆ รู้สึกว่าทำไมชีวิตเรามันต่างกันขนาดนี้วะ
กลับมาบ้านวันนั้น ผมเปิดขวดเบียร์ที่ซื้อมาขวดนึง นั่งมองบ่อปลาเงียบ ๆ ปลาหมอตัวนึงว่ายมาที่ขอบบ่อ เหมือนมันมองผม ผมยกขวดเบียร์ขึ้นแล้วบอกมันว่า “กูแพ้แล้วว่ะ เพื่อนกูมันไปไกล แต่กูยังอยู่ที่เดิม” ผมร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ น้ำตาไหลลงแก้ม ผสมกับรสขมของเบียร์
แต่เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นมาแล้วเห็นแม่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน แม่หันมามองผมแล้วยิ้ม “ตื่นแล้วเหรอ? วันนี้แม่จะทำต้มยำปลาหมอให้กินนะ”
ผมมองรอยยิ้มของแม่ แล้วรู้สึกว่ามันยังมีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่ในชีวิต แม้มันจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
ผมเริ่มกลับมาสู้ใหม่ เริ่มทำคลิปสั้น ๆ ลงโซเชียล เล่าเรื่องชีวิตประจำวันของผมกับปลาหมอ ผมตั้งชื่อคลิปว่า “ชีวิตตั้มกับปลา” คลิปแรกมีคนดูแค่ 10 วิว แต่ผมก็ทำต่อไป วันนึงมีคนคอมเมนต์ว่า “พี่ตั้มสู้ ๆ นะ หนูชอบดูพี่คุยกับปลา มันทำให้หนูยิ้มได้” ผมอ่านคอมเมนต์นั้นแล้วน้ำตาคลอ ไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจ แต่รู้สึกว่าชีวิตมันยังมีความหมายอยู่บ้าง
ทุกวันนี้ ผมยังเลี้ยงปลา ยังขายของออนไลน์ และยังทำคลิปต่อไป บางวันก็ยังเหนื่อยจนอยากนอนเฉย ๆ แต่ผมเริ่มยอมรับว่าชีวิตมันไม่ได้สวยงามเหมือนคนอื่น และมันก็ไม่เป็นไร…เพราะมันคือชีวิตของผม
แต่คำถามที่ยังวนอยู่ในหัวทุกคืนก็คือ
ถ้ากูเหนื่อยขนาดนี้ แล้วสักวันกูจะได้พักจริง ๆ มั้ยวะ















ลิงค์นี้ปลอดภัยเราตรวจสอบแล้ว
ขยะใต้หมอน เพลงที่มีความหมายดีมาก
ขอบคุณครับ
มีคำกล่าวว่า บนทางเดินชีวิต เรามี ปัญหา คือ เพื่อนร่วมทาง , มีน้ำตา คือ เพื่อนปลอบประโลม มีเงาเป็นเพื่อนชีวิต มีมานะไว้ฝืนลิขิต
— นายแทม
จากหนังสือยอดมนุษย์ดาวเหงา
อ้างถึงความเห็นที่ 1 มีคำกล่าวว่า บนทางเดินชีวิต เรามี ปัญหา คือ เพื่อนร่วมทาง , มีน้ำตา คือ เพื่อนปลอบประโลม มีเงาเป็นเพื่อนชีวิต มีมานะไว้ฝืนลิขิต — นายแทม จากหนังสือยอดมนุษย์ดาวเหงา
— หมีเทมโปโป้
เคยอ่านครับ
ยืนยันการลบความเห็น